สงครามอิสราเอล-อิหร่าน ข้อพิพาทไทย-กัมพูชา ฉุดไทยสู่ "Perfect Storm"
ประธานสภาอุตฯ เตือนสถานการณ์อิสราเอล-อิหร่าน เสี่ยงบานปลาย ฉุดเศรษฐกิจโลก-ไทยทรุด ลามกระทบราคานํ้ามันดิบโลกอาจพุ่งสูงกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต้นทุนพลังงาน-ค่าขนส่ง-เงินเฟ้อจ่อทะยาน พิพาทไทย-กัมพูชา ภาษีสหรัฐ ผสมโรง ฉุดไทยสู่ “Perfect Storm”
เศรษฐกิจไทยเผชิญแรงกดดันรอบด้านจากความไม่แน่นอนของภูมิรัฐศาสตร์โลก ล่าสุดสงครามอิสราเอล-อิหร่าน มีแนวโน้มบานปลาย ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมไทยหวั่นผลกระทบจะลุกลามครอบคลุมการค้าโลก ราคาพลังงาน การขนส่ง และภาคท่องเที่ยว กระทบซํ้าเศรษฐกิจไทยที่เปราะบางอยู่แล้วจากแรงเสียดทานภายนอก รวมถึงปัจจัยภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับสหรัฐ ที่ยังไม่ชัดเจน และข้อพิพาทไทย-กัมพูชาที่เริ่มตึงเครียด
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ขณะนี้สถานการณ์ในตะวันออกกลางโดยเฉพาะสงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านถือว่าน่ากังวลอย่างยิ่ง หากอิหร่านเดินหน้าปิด “ช่องแคบฮอร์มุซ” ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งนํ้ามันที่สำคัญของโลก จะยิ่งทำให้ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้น โดยมีแนวโน้มแตะระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือมากกว่านั้น คล้ายกับสถานการณ์ราคาที่เกิดขึ้นในช่วงแรก ๆ ของสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ต้นทุนพลังงานโลจิสติกส์ทั่วโลกเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ฉุดกำลังซื้อ การค้า และการเดินทาง

“ราคานํ้ามันที่เคยนิ่งอยู่ราว 60-70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อาจกระโดดขึ้นหากสงครามยืดเยื้อ โดยเฉพาะหากมีประเทศมหาอำนาจเข้าร่วม หรือให้การสนับสนุนทั้งสองฝ่ายโดยตรงหรือโดยอ้อม สถานการณ์จะซับซ้อนขึ้นทันที” นายเกรียงไกร กล่าว
ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทยก็เริ่มได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและยุโรป ซึ่งมีแนวโน้มลดลงจากความกังวลด้านความปลอดภัย โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนมาไทยลดลงอย่างชัดเจน และไทยยังพึ่งพานักท่องเที่ยวจากกลุ่มตะวันออกกลางและอิสราเอลในการพยุงตัวเลขท่องเที่ยวรวม หากสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นหรือบานปลาย นักท่องเที่ยวจากภูมิภาคนี้อาจไม่กล้าเดินทาง จะส่งผลต่อรายได้ในภาคบริการของไทย
ล่าสุดในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เดือนมิถุนายน ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 เหลือเพียง 1.5-2.0% จากเดิม 2.0-2.2% ส่วนการส่งออกปรับลดจากคาดการณ์เติบโต 0.3-0.9% เหลือ -5% ถึง 0.3% โดยยังไม่รวมผลกระทบเต็มรูปแบบจากสงครามอิสราเอล-อิหร่าน และข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา
“ตอนนี้เรากำลังเจอสถานการณ์พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก สถานการณ์ในตะวันออกกลางยังไม่จบ ก็มีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาเกิดขึ้น ขณะที่สหรัฐฯ ก็ยังไม่เคาะอัตราภาษีตอบโต้ไทย ซึ่งเหลือเวลาการเจรจาอีกไม่ถึง 20 วันก่อนเส้นตายที่สหรัฐจะปรับขึ้นภาษีตอบโต้ไทยที่ชะลอไว้ 90 วัน ซึ่งยังต้องลุ้นว่าไทยจะเจรจาทันหรือไม่ และอัตราภาษีตอบโต้จะออกมาเท่าไหร่
สถานการณ์ทั้งหมดถือเป็นพายุสมบูรณ์แบบหรือ Perfect Storm ที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงนับจากนี้ไป”
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า แม้การค้าระหว่างไทยกับอิสราเอลและอิหร่านจะมีมูลค่าไม่สูงเมื่อเทียบกับคู่ค้ารายใหญ่อื่น ๆ
แต่สถานการณ์สงครามส่งผลให้การส่งสินค้าและการติดต่อทางธุรกิจหยุดชะงักลง โดยที่ผ่านมาการค้าไทยกับอิสราเอลมีมูลค่ามากกว่าอิหร่าน (การค้าไทย-อิสราเอลปี 2567 มีมูลค่ารวม 45,290 ล้านบาท โดยไทยส่งออก 28,660 ล้านบาท นำเข้า 16,630 ล้านบาท ไทยเกินดุลการค้า 12,030 ล้านบาท
ส่วนการค้าไทย-อิหร่านปี 2567 มีมูลค่ารวม 7,270 ล้านบาท โดยไทยส่งออก 4,706 ล้านบาท นำเข้า 2,565 ล้านบาท ไทยเกินดุลการค้า 2,141 ล้านบาท) โดยอิหร่านถูกแซงชั่นจากสหรัฐและชาติตะวันตกมานาน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การค้าไทย-อิหร่านมีมูลค่าไม่มากนัก
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 18 มิถุนายน 2568