ไทยเผชิญ "เงินเฟ้อต่ำ-การเติบโตต่ำ" "วิทัย" ชี้ 3 ทางรอดเศรษฐกิจ
KEY POINTS
* เปิดมุมมองเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง "วิทัย" มอบเครื่องยนต์หลักเศรษฐกิจแผ่ว ทั้ง “ท่องเที่ยว-ส่งออก”
* ชี้ 3 แนวทางแก้หนี้ครัวเรือน ทางรอดเศรษฐกิจไทย
* การดำเนินนโยบายการเงินและการคลังต้องสอดประสานกัน
เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความไม่แน่นอนสูงจากภาษีสหรัฐ สงครามตะวันออกกลาง รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งทำให้หลายฝ่ายต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทั้งปัจจัยภายในและภาคนอกประเทศ
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการ “กรุงเทพธุรกิจ Deeptalk” ว่า เศรษฐกิจซบเซาและกังวลจะซึมลึกนาน โดยอัตราเงินเฟ้อต่ำและปี 2568 มีแนวโน้มต่ำกว่ากรอบล่างของเป้าหมาย 1% เป็นสภาวะ “เงินเฟ้อต่ำ การเติบโตต่ำ” (low inflation, low growth) ขณะที่เครื่องยนต์หลักอย่างท่องเที่ยวและส่งออกน่ากังวลว่าไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนหลักปี 2568-2569
“เศรษฐกิจตอนนี้เป็นความท้าทายจริงๆ บางภาคส่วนดีมากอย่างสถาบันการเงินแข็งแกร่งมาก แต่ภาคส่วนอื่นที่เป็นส่วนใหญ่ไม่ค่อยดี”
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยประสบปัญหาเชิงโครงสร้างที่กัดกร่อนความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนี้ครัวเรือนและหนี้เสีย (NPL) การกระจายรายได้ การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนของธุรกิจและรายย่อย รวมถึงภาคธุรกิจที่กำไรลดลงและเริ่มมีปัญหาการชำระเงิน
“หนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ที่ 88% ของ GDP สูงกว่าเกณฑ์เหมาะสมที่ 80% โดยหนี้ครัวเรือนสูงกระทบกำลังซื้อและการเติบโตเศรษฐกิจ อีกทั้งคาดว่า NPL มีโอกาสสูงขึ้นหากเศรษฐกิจยังซบเซา”
นายวิทัย กล่าวว่า การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนในทางปฏิบัติมี 3 แนวทาง ได้แก่
1)เศรษฐกิจต้องเติบโต ซึ่งหมายความว่าประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นหาก Nominal GDP เติบโต 4% ต่อเนื่อง 2-3 ปี จะทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนลดได้
2)ลดดอกเบี้ยเงินกู้ โดยช่วยให้ลูกหนี้ตัดเงินต้นได้มากขึ้นแม้จ่ายเท่าเดิม ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระหนี้และทำให้สภาพเงินส่วนบุคคลดีขึ้น แล้วช่วยสะสมและลดหนี้ครัวเรือนในภาพใหญ่ลง
3)มาตรการอื่นที่ต้องเสริม เช่น การโอนหนี้ไม่มีหลักประกันที่ธนาคารสำรองหมดแล้วออกมาให้หน่วยงานอื่นดูแลในราคาถูก เช่น 3-7% แล้วนำมาปรับโครงสร้างหนี้ในระยะยาว
“การประสานกับมาตรการอื่นต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ impact และประชาชนหลุดพ้นยั่งยืน เพราะท้ายสุดการแก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างไม่มี single solution หรือ มาตรการเดียวที่กดปุ่มแล้วแก้ทุกอย่างแต่ต้องเป็นจิ๊กซอว์นำมารวมกัน”
โจทย์ใหญ่แก้หนี้ ต้องเดินร่วมกัน :
นายวิทัย กล่าวว่า นโยบายแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนผ่านนโยบายการคลังและนโยบายการเงินมีบทบาทต่างกันคือ นโยบายการคลังจะออกได้เร็ว ยิงตรงเป้าและเห็นผลในระยะเวลาอันสั้น ส่วนนโยบายการเงินเป็นภาพใหญ่ เช่น การลดดอกเบี้ย ซึ่งกว่าจะเกิดผลต้องใช้ระยะเวลา 6-12 เดือน ซึ่งทั้ง 2 ส่วนต้องทำงานไปพร้อมกัน
“การลดดอกเบี้ย อัดฉีดเงินหรือลดภาษีอย่างเดียวแก้ไม่ได้ทั้งหมด ต้องประสาน (policy coordination) ระหว่างนโยบายการเงิน การคลัง และมาตรการจากหน่วยงานกำกับอื่นไปทิศทางเดียวกันและต่อเนื่อง และนโยบายการเงินควรชัดเจนและส่งสัญญาณเชิงรุกขึ้น”
นายวิทัย กล่าวว่า มุมมองแบงก์ที่ดูแลลูกค้ากลุ่มฐานราก การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ช้ากว่าที่ควรจะเป็น แต่การลดดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้งที่ผ่านมา ช่วยบรรเทาได้ และสิ่งสำคัญอยู่ที่การส่งสัญญาณไปตลาดที่ชัดเจนว่าการลดดอกเบี้ยจะเป็นมาตรการต่อเนื่องและระยะยาว
รวมถึงการส่งผ่านไปสู่การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งเริ่มมีผลที่จำกัดต่างจากช่วยดอกเบี้ยขาขึ้นที่ปรับขึ้นได้เต็มที่และรวดเร็ว
“สิ่งนี้อาจเป็นผลมาจากการที่ธนาคารต้องใช้เวลาวิเคราะห์ผลกระทบ และเศรษฐกิจที่ไม่ดีทำให้ต้นทุนความเสี่ยงด้านเครดิต (credit cost) สูงขึ้นทำให้สถาบันการเงินระวังปล่อยสินเชื่อขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายสินเชื่อ แม้ดอกเบี้ยจะลดลง”
นายวิทัย กล่าวว่า มาตรการจำเป็นที่ต้องเสริมให้สถาบันการเงินขยายสินเชื่อได้ง่ายขึ้น โดยการขยายบทบาทของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เพื่อเพิ่มการค้ำประกันสินเชื่อหลายประเภทมากขึ้น รวมถึงกลุ่ม non-banks ที่สำคัญมากในการลดความเสี่ยงให้สถาบันการเงินเพื่อประคองให้แบงก์ปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
รวมถึงพิจารณา soft loan หรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแบบเฉพาะเจาะจง (targeted soft loan)
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ต้องการความช่วยเหลือ เช่น ผู้ส่งออก ซัพพลายเชนผู้ส่งออก SMEs ที่ถูกผลกระทบจากสินค้าต่างประเทศราคาถูกและธุรกิจท่องเที่ยว โดยมาตรการนี้จะลดต้นทุนการเงินทำให้ปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น
ชั่งน้ำหนัก ลดดอกเบี้ย ก่อหนี้เพิ่ม :
นายวิทัย กล่าวว่า ธปท.อาจกังวลว่าการลดดอกเบี้ยมากเกินไปจะทำให้ประชาชนก่อหนี้เพิ่ม อย่างไรก็ตามผู้ให้ข้อมูลเชื่อว่าโดยรวมแล้วประโยชน์ของการลดดอกเบี้ยเพื่อแก้หนี้มีน้ำหนักมากกว่า
ทั้งนี้ การลดดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือสำคัญและจำเป็นในการบรรเทาปัญหาหนี้ครัวเรือนและกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนสูง แต่ความสำเร็จที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อส่งผ่านไปถึงดอกเบี้ยเงินกู้
“คุณสู้ เราช่วย” ผลลัพธ์ยังไม่ปัง :
สำหรับโครงการ “คลินิกแก้หนี้” ไปจนถึง “คุณสู้ เราช่วย” ได้บรรเทาปัญหาหนี้ครัวเรือนระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงขั้นแก้ปัญหาได้หมด โดยโครงการดังกล่าวช่วยลูกหนี้ที่ได้รับอานิสงส์และได้รับการแก้ไขหนี้แล้วหลายแสนคน แต่ยังมีลูกหนี้หลายแสนคนเข้าไม่ถึงโครงการ
ส่วนลูกหนี้ออมสินได้ดำเนินโครงการนี้ไปแล้ว 33% ของระบบสถาบันการเงินของรัฐและธนาคารพาณิชย์รวมกัน บางส่วนของโครงการทำงานได้ดี แต่ไม่สามารถกล่าวได้ว่าช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งหมด
เทียบวิกฤติก่อนหน้า ตอนนี้หนักกว่า
นายวิทัย กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยรับอานิสงส์บางส่วนจากการส่งออกที่เติบโตดีช่วง 3-4 เดือนแรก และจำนวนนักท่องเที่ยวช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค.แต่แนวโน้มครึ่งปีหลังน่ากังวลขึ้น
ขณะที่ครึ่งปีหลังนี้เศรษฐกิจไทยเผชิญความไม่แน่นอน เช่น ภาษีสหรัฐที่ไม่ยุติ สงครามยืดเยื้อและความไม่แน่นอนการเมืองในประเทศ โดย ธปท.รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคได้ดี เช่น ดูแลอัตราเงินเฟ้อให้ต่ำและทำให้สถาบันการเงินแข็งแกร่ง แต่บริบทเศรษฐกิจเผชิญปัจจัยภายนอกที่ซับซ้อนขึ้นอาจต้องเพิ่มบทบาทดูแลการเติบโตเศรษฐกิจมากขึ้น
นายวิทัย กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันหนักกว่าวิกฤติปี 2540 ที่ส่วนใหญ่กระทบคนรวยและสถาบันการเงิน แต่วิกฤติปัจจุบันกระทบคนส่วนใหญ่ และไทยมีปัญหาขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาวทั้งการส่งออก การท่อง หนี้ครัวเรือนสูงและปัญหาเชิงโครงสร้าง
“สถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันหนักกว่าวิกฤติโควิด-19 หรือแม้กระทั่งวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 เพราะปัจจัยเสี่ยงใหม่ที่รุมเร้าต่อเนื่อง และผลกระทบที่ขยายไปคนส่วนใหญ่ของประเทศ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยต้องคิดใหม่ทำใหม่และให้เป็นรูปธรรม ต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน แต่มีความหวังบรรเทาปัญหาและทำให้เศรษฐกิจค่อยๆ ฟื้นได้ยั่งยืน”
ที่มา กรุงเทพธุุรกิจ
วันที่ 20 มิถุนายน 2568