สงครามอิสราเอล-อิหร่าน ป่วนตลาดน้ำมันดิบโลก
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกตกอยู่ในสภาพผันผวนอย่างหนัก ต่อเนื่องมาตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน เมื่อ 2 ชาติที่เป็นศัตรูเก่าแก่ในตะวันออกกลาง อย่าง "อิหร่าน" กับ "อิสราเอล" ใช้ปฏิบัติการทางทหารโจมตีเข้าใส่ซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดความกังวลว่าการสู้รบครั้งนี้จะลุกลามขยายวงกลายเป็นสงครามระดับภูมิภาคในตะวันออกกลาง จนอาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกน้ำมันจากแหล่งค้าน้ำมันสำคัญของโลกแห่งนี้
ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นแรงมากเมื่อ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา ทะยานพรวดเดียวสูงถึง 7% และยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเมื่อเปิดตลาดซื้อขายสัปดาห์ใหม่ในวันที่ 16 มิถุนายน ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ ฟิวเจอร์ส ขยับขึ้นอีก 64 เซนต์ หรือ 0.86% มาอยู่ที่ 74.87 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ส่วนราคาน้ำมันดิบ เวสต์ เทกซัส อินเตอร์มีเดียต ฟิวเจอร์ส ก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกัน 76 เซนต์ หรือ 1.04% ที่น่าสนใจก็คือ ราคาน้ำมันทั้งสองชนิดพุ่งสูงขึ้นในช่วงเปิดตลาดถึงกว่า 4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนที่จะร่วงวูบลงมาสู่แดนลบอยู่ชั่วขณะด้วยอีกต่างหาก
ความผันผวนในตลาดน้ำมันดิบโลกล่าสุด เป็นการตอบสนองต่อการยิงขีปนาวุธจากอิหร่าน พุ่งเป้าโจมตีนครเทลอาวีฟ และเมืองท่าไฮฟา ของอิสราเอล เมื่อ 16 มิถุนายน สร้างความเสียหายให้กับอาคารบ้านเรือน
ในขณะที่การโจมตีตอบโต้ซึ่งกันและกันเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน คร่าชีวิตพลเรือนจำนวนหนึ่ง กระพือให้บรรดาผู้นำโลก ซึ่งเตรียมเข้าประชุมกลุ่มประเทศ จี7 ที่แคนาดาในสัปดาห์นี้มีความวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ทางกองทัพของทั้งอิสราเอลและอิหร่านออกประกาศเตือนพลเรือนตัวเองให้อยู่ในสภาพเตรียมพร้อม เพื่อรับมือกับการโจมตีที่อาจมีขึ้นต่อเนื่องต่อไปอีกด้วย
ในเอเชีย ตลาดซื้อขายน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบอ้างอิง เบรนต์ ฟิวเจอร์ส ปรับสูงขึ้น 2.1% ซื้อขายกันที่ 75.76 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นการสูงขึ้นต่อเนื่องหลังจากทะยานขึ้น 7% เมื่อ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา เมื่อการโจมตีของอิสราเอลคร่าชีวิตนายทหารระดับผู้บัญชาการ รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ของอิหร่าน และทำลายสิ่งปลูกสร้างในโครงการนิวเคลียร์ส่วนหนึ่งไป
เท่ากับว่า ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นมากถึง 13% สู่ระดับราคาสูงสุดในรอบเกือบ 5 เดือน
ราคาดังกล่าวเป็นราคาอ้างอิงของสัญญาซื้อขายน้ำมันบนแผ่นกระดาษ ในการซื้อขายน้ำมันยังมีราคาอ้างอิงอีกราคาหนึ่ง คือราคา ดูไบ สวอป ที่เป็นการตกลงซื้อขายน้ำมันดิบดูไบ เกรด กันจริง ๆ ที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ ราคาดูไบ สวอป พุ่งสูงขึ้นเพียง 5.8% เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ปิดการซื้อขายกันที่ 71.03 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เท่านั้น
เท่ากับมีการปรับตัวสูงขึ้นเพียง 3.86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไม่สูงเท่ากับ 4.87 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามราคาอ้างอิงของสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบเบรนต์ และสะท้อนให้เห็นว่าบรรดาผู้ค้าน้ำมันและโรงกลั่น ที่ซื้อขายน้ำมันกันอยู่จริง ๆ มีความกังวลน้อยกว่าผู้ค้าน้ำมันบนแผ่นกระดาษ ว่าซัพพลายน้ำมันจะเกิดปัญหาตามมาจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่านครั้งนี้
นักวิเคราะห์ในแวดวงน้ำมันชี้ว่า ราคาซื้อขายที่แท้จริง แม้จะปรับตัวขึ้นน้อยกว่าราคาซื้อขายบนกระดาษ แต่ก็ยังถือว่าเป็นการถีบตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรงด้วยกันทั้งสองราคา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคำนึงถึงว่า จนบัดนี้ ทั้งอิสราเอลและอิหร่านยังไม่มีทีท่าว่าจะรามือ การโจมตีซึ่งกันและกันยังคงต่อเนื่องกันจนถึงขณะนี้
คำถามก็คือ ถ้าเช่นนั้นราคาน้ำมันดิบโลกจะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นนี้ใช่หรือไม่ อะไรคือสัญญาณบอกเหตุว่าราคาจะพุ่งสูงขึ้นอย่างไร้การควบคุม ?
ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการค้าน้ำมันโลกระบุว่า หัวใจสำคัญของเรื่องราคาน้ำมันนี้ ไม่ได้อยู่ที่ว่าทั้งสองฝ่ายยังตอบโต้ซึ่งกันและกันด้วยขีปนาวุธอยู่อีกหรือไม่ แต่อยู่ตรงที่ว่าเป้าหมายโจมตีของอิสราเอลมีแหล่งผลิตน้ำมันดิบและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการส่งออกน้ำมันดิบของอิหร่านอยู่ด้วยหรือไม่ เช่นเดียวกับที่อิหร่านเอง นอกจากจะโจมตีกลับแล้ว ยังพยายามจะปิดกั้นช่องแคบฮอร์มุซอย่างจริงจังหรือไม่เท่านั้น
ฮอร์มุซเป็นน่านน้ำแคบ ๆ สำหรับเป็นช่องทางผ่านจากอ่าวเปอร์เซียมาสู่อ่าวโอมาน แล้วก็ออกสู่มหาสมุทรอินเดีย ช่องแคบฮอร์มุซนี้เป็นเส้นทางลำเลียงสำคัญในการส่งต่อน้ำมันไปยังผู้บริโภค คิดสัดส่วนแล้วเท่ากับราว 20 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือราว ๆ 1 ใน 5 ของปริมาณน้ำมันที่โลกบริโภคอยู่ในปัจจุบัน
นี่คือเส้นทางเดินเรือที่ชาติสมาชิกโอเปก อย่าง ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, คูเวต, อิรัก และอิหร่าน ใช้เพื่อส่งออกทั้งน้ำมันดิบ และผลิตผลจากน้ำมันของตนออกสู่ตลาด ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ หากถูกปิดกั้นก็แทบจะไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่น
นอกเหนือจากเส้นทางนี้ ช่องแคบฮอร์มุซยังเป็นเส้นทางสำคัญในการส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ของกาตาร์ ซึ่งเป็นชาติผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ข้อสังเกตที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญในแวดวงการค้าน้ำมันของโลกระบุไว้เหมือน ๆ กันประการหนึ่งก็คือ ในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะรุนแรงขนาดไหน ก็ยังไม่เคยปรากฏว่ามีการปิดกั้นช่องแคบฮอร์มุซมาก่อน
ปรากฏการณ์ที่ “หนักหนาสาหัส” ที่สุดเท่าที่เคยปรากฏก็คือ ทางการอิหร่านส่งกำลังทหารขึ้นตรวจสอบเรือบรรทุกน้ำมัน หรือจับกุมและยึดเรือบรรทุกน้ำมันบางลำไว้เป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง
นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า วิธีการที่ดีที่สุดในการใช้ช่องแคบฮอร์มุซเป็นเครื่องมือสำหรับอิหร่านก็คือ การทำให้ทุกฝ่ายคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้สารพัดเมื่อแล่นเรือผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งจะส่งผลให้ค่าพรีเมี่ยมในการลำเลียงน้ำมันดิบผ่านเส้นทางนี้เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ในความเป็นจริงแล้ว อิหร่านไม่ได้ดำเนินความพยายามใด ๆ ที่แท้จริงเพื่อปิดกั้นช่องแคบฮอร์มุซแต่อย่างใด
และถ้าหากอิหร่านเกิด “สุดโต่ง” ขึ้นมาแล้วพยายามปิดกั้นช่องแคบฮอร์มุซขึ้นมาจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น ? คำตอบก็คืออิหร่านเองก็จะส่งออกน้ำมันดิบของตนเองสู่ตลาดไม่ได้เหมือนกับประเทศอื่น ๆ และในขณะเดียวกัน ก็เท่ากับเป็นการ “เชื้อเชิญ” ให้มหาอำนาจชาติอื่น ๆ ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งครั้งนี้ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่อาจอาศัยการเปิดเส้นทางการเดินเรือเป็นข้ออ้าง
ในขณะที่อิหร่านเองต้องยอมสูญเสียความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้านในตะวันออกกลาง รวมไปถึงประเทศอย่างจีน ชาติที่เป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นผู้ซื้อน้ำมันดิบที่ถูกแซงก์ชั่นของอิหร่านรายสำคัญไป หากตัดสินใจเช่นนั้น
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมอิหร่านไม่เคยปิดกั้นช่องแคบฮอร์มุซ และอิสราเอลเองยังคงจำกัดเป้าหมายโจมตีในอิหร่านเอาไว้ ต่อสถานที่อย่างคลังน้ำมัน หรือโรงกลั่น เพื่อสร้างความยุ่งยากลำบากภายในประเทศ ไม่ใช่การทำลายแหล่งผลิตน้ำมันดิบและพื้นที่เพื่อการส่งออก ซึ่งจะช่วยจำกัดความเสี่ยงเรื่องซัพพลายน้ำมันจากตะวันออกกลางไว้เพียงเท่านี้เท่านั้น จนกว่าแนวรบจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่กันขึ้นจริงๆ
ที่มา ประชาชาติธุุรกิจ
วันที่ 19 มิถุนายน 2568