นำเข้า-ส่งออก พุ่งพรวด อานิสงส์ภาษีทรัมป์ จับตาสงครามยืดเยื้อ
ดัชนีราคาส่งออก–นำเข้าไทยเดือน พ.ค. 2568 ขยายตัวต่อเนื่องจากความต้องการของคู่ค้าเร่งนำเข้าสินค้าก่อนขึ้นภาษีสหรัฐฯ “สนค.” เผยอิเล็กทรอนิกส์-อาหารแปรรูป-ทองคำมาแรง แต่ยังต้องจับตาความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าของไทย เดือนพฤษภาคม 2568 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้นตามความต้องการสินค้าของประเทศคู่ค้า เนื่องจากอยู่ในช่วงการเร่งส่งออกก่อนการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ประกอบกับการนำเข้าสินค้าขยายตัวต่อเนื่อง เพื่อนำมาผลิตเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายกีดกันทางการค้า และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวทางด้านราคาของไทยในระยะข้างหน้า
สำหรับดัชนีราคาส่งออกและดัชนีราคานำเข้า มีรายละเอียดดังนี้
ดัชนีราคาส่งออก เดือนพฤษภาคม 2568 เท่ากับ 111.0 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย ที่ร้อยละ 0.4 จากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ที่กลับมาฟื้นตัว รวมถึงการส่งออกอาหารแปรรูปขยายตัวดี
ขณะเดียวกันยังส่งผลให้หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกปรับตัวสูงขึ้น ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้นร้อยละ 1.6 ได้แก่ ทองคำ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ตามความต้องการเร่งนำเข้าสินค้าก่อนมีการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ตลาดโลกมีความต้องการอุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพื่อรองรับ AI และการเติบโตของธุรกิจ Data Center และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เนื่องจากอุณหภูมิและระดับความชื้นทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น และหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้นร้อยละ 1.4 ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูปเนื่องจากเป็นสินค้าที่เก็บได้นานและปลอดภัย อาหารสัตว์เลี้ยง
โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารพรีเมียม และอาหารฟังก์ชัน (Functional Food) ซึ่งเป็นอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับสัตว์เลี้ยง และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์
ขณะที่หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกลดลง ประกอบด้วย หมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 15.8 โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันดิบ ตามอุปทานน้ำมันส่วนเกินในตลาดโลก และความต้องการใช้ที่ชะลอตัวลง และหมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลงร้อยละ 4.0 ได้แก่ ข้าว เนื่องจากอุปทานข้าวโลกยังอยู่ในระดับสูง
การเผชิญกับการแข่งขันจากประเทศคู่แข่งที่มีราคาถูกกว่า อาทิ อินเดีย และเวียดนาม และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ตามความต้องการจาก ตลาดหลัก อาทิ จีนมีแนวโน้มลดลง
ด้านดัชนีราคานำเข้า เดือนพฤษภาคม 2568 เท่ากับ 114.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 สาเหตุหลักเป็นผลจากผู้ผลิตในประเทศเร่งสต๊อกนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักร และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นล่วงหน้า (Pre-Stock) เพื่อเตรียมพร้อมก่อนมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้
ส่งผลให้ดัชนีราคานำเข้าปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกหมวดสินค้า ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค สูงขึ้นร้อยละ 8.5 ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องประดับอัญมณี และผัก ผลไม้ และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก ผลไม้ ตามความต้องการสินค้าเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคของประเทศ และรองรับการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ 4.9
โดยเฉพาะทองคำ ราคาสูงขึ้นตามการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และเศรษฐกิจโลก สำหรับอุปกรณ์ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะแผงวงจรไฟฟ้า ตามความต้องการสินค้าเพื่อใช้ในภาคการผลิตอุตสาหกรรมภายในประเทศ และปุ๋ย ตามต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น
ส่งผลให้หมวดสินค้าทุน สูงขึ้นร้อยละ 4.3 ได้แก่ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เพื่อรองรับการผลิตสำหรับส่งออก และการขยายตัวของเทคโนโลยี AI และ Data Center
หมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง สูงขึ้นร้อยละ 0.8 โดยเฉพาะส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ตามความต้องการชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อการผลิตและประกอบรถยนต์ภายในประเทศ และส่งออก ขณะที่หมวดสินค้าเชื้อเพลิง หดตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.6 โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ ตามทิศทางราคาน้ำมันตลาดโลก และคาดการณ์ว่าอุปทานน้ำมันจะปรับตัวสูงเกินกว่าอุปสงค์โลก
นายพูนพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวโน้มดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าเดือนมิถุนายน 2568 คาดว่าจะมีปัจจัยที่สนับสนุนให้ดัชนีราคาส่งออกและดัชนีราคานำเข้าขยายตัว ได้แก่
* การเร่งนำเข้าสินค้าไทยจากประเทศคู่ค้า ก่อนจะมีการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) เต็มรูปแบบ ทำให้มีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้นในระยะสั้น
* สินค้าเกษตรแปรรูปส่วนใหญ่ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
* สินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยียังเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก
* ต้นทุนการผลิต มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่
* การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และประเทศคู่ค้าหลัก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อในหลายภูมิภาค
* ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐฯ ราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางกลุ่มเผชิญกับปัญหาอุปทานส่วนเกิน
* การแข่งขันทางด้านราคามีแนวโน้มสูงขึ้น ความผันผวน
* การแข็งค่าของค่าเงินบาท
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 26 มิถุนายน 2568