ม.หอการค้าหั่นจีดีพีปี’68 เหลือ 1.7% ชี้สารพัดปัจจัยเสี่ยงฉุดเศรษฐกิจ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย หั่นเป้าจีดีพีปี 2568 เหลือ 1.7% พร้อมเปิดผลกระทบสารพัดปัจจัยเสี่ยงฉุดเศรษฐกิจไทย
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 ลงจาก 3% เหลือ 1.7% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า ได้แก่ กำแพงภาษีจากสหรัฐ, ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน, ความตึงเครียดไทย-กัมพูชา, เสถียรภาพรัฐบาล
รวมทั้งการผลิตภาคอุตสาหกรรมฟื้นช้า อัตรากำลังการผลิตยังต่ำที่ระดับ 65.1%, การลงทุนภาคเอกชนติดลบต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4, การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังเสี่ยงลดลง เพราะสหรัฐได้เร่งนำเข้าไปล่วงหน้าไปในช่วงครึ่งปีแรกแล้ว, นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง และยังคาดการณ์ว่าหนี้ครัวเรือต่อจีดีพีจะปรับสูงขึ้น เป็น 87.4%
“เป้าจีดีพีใหม่ที่ 1.7% นั้น เราประเมินภายใต้สถานการณ์ที่ไม่แย่นัก คือ สหรัฐอาจประกาศภาษีไทยไม่สูงนักราว 15-20% ความขัดแย้งอิหร่าน-อิสราเอล และชายแดนกัมพูชาคลี่คลายได้เร็ว รวมทั้งนายกรัฐมนตรีสามารถอยู่ได้จบครบวาระ ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพและสามารถเบิกจ่ายงบฯได้ 50% ขณะที่การส่งออกทั้งปีเติบโตเป็นอัตราบวก 2.5%”
นายธนวรรธน์กล่าวว่า จีดีพีปีนี้ยังมีแนวโน้มที่จะผันผวนจากเป้าหมาย 1.7% โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยแบ่งเป็น 2 กรณี 1.กรณีที่แย่ที่สุด คือจีดีพีอาจโตลดลงเหลือเพียง 0.9% หากการเมืองไทยไร้เสถียรภาพ โดยนายกรัฐมนตรีตัดสินใจยุบสภา ทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจทำได้แค่ 25%, สหรัฐประกาศเก็บภาษีไทยในอัตรา 25-30% และชายแดนกัมพูชาตึงเครียดจนต้องปิดด่าน 100% ตลอดปีนี้
และ 2.กรณีที่ดีที่สุด คาดว่าจีดีพีปีนี้อาจจะเติบโตได้ 2.3% ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยกรณีนี้จะเกิดขึ้นได้นั้น นายกรัฐมนตรีจะต้องอยู่บริหารประเทศจนถึงสิ้นปีนี้ ทำให้สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ 75% สหรัฐประกาศเก็บภาษีไทยเพียง 10% รวมทั้งความขัดแย้งไทย-กัมพูชา และสงครามอิสราเอล-อิหร่าน จบลงเร็ว
ทั้งนี้เพื่อควบคุมไม่ให้เศรษฐกิจไทยผันผวนมาก รัฐบาลจะต้องเร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐ, เร่งรัดการเบิกจ่ายงบฯ, ปลดล็อกการให้สินเชื่อ เพราะขณะนี้คือสินเชื่อขยายตัวต่ำกว่าเงินฝาก เนื่องจากธนาคารเข้มงวดการปล่อยกู้ ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยควรจะหารือร่วมกับธนาคารพาณิชย์เพื่อผ่อนเกณฑ์การให้สินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านและรถ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินต่อได้, แก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนและการกระตุ้นการลงทุนเอกชน
นายธนวรรธน์กล่าวต่อถึงผลกระทบของแต่ละปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อจีดีพีไทยว่า กรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา หากสถานการณ์คลี่คลายเร็วภายใน 1 เดือน การส่งออกไทยจะหายไป 11,659 ล้านบาท ฉุดให้จีดีพีไทยลดลง 0.06% แต่หากขัดแย้งรุนแรงมีการปิดด่านจนถึงสิ้นปีนี้ การส่งออกไทยจะหายไป 69,952 ล้านบาท ฉุดจีดีพีลดลง 0.38%
ส่วนกรณีคลิปเสียงหลุดของนายกรัฐมนตรีได้ประเมินผลกระทบเป็น 3 กรณี คือ 1.หากนายกฯ อยู่ต่อตลอดทั้งปี ใช้งบประมาณได้ต่อเนื่อง และสามารถผ่านแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทได้ จะทำให้จีดีพีลดลง 0.06%
2.มีนายกฯ คนใหม่พรรคแกนนำเดิม อาจทำให้งบฯปี 2569 อาจล่าช้าออกไป 2-3 เดือน จีดีพีอาจลดลง 0.20% และ 3.นายกฯ ยุบสภา อาจทำให้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้า 3-6 เดือน ต้องเริ่มขบวนการงบประมาณปี 2569 ใหม่ คาดว่าจีดีพีลดลง 0.66%
ส่วนกรณีสงครามอิหร่าน-อิสราเอล แบ่งออกเป็น 3 กรณีเช่นกัน 1.ความขัดแย้งคลี่คลายได้เร็ว จะทำให้จีดีพีลดลง 0.07% 2.ความขัดแย้งยืดเยื้อระดับปานกลาง จีดีพีลดลง 0.59% และ 3.ความขัดแย้งบานปลายและรุนแรง อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซและเกิดสงครามเต็มรูปแบบในภูมิภาค คาดว่าจะทำให้จีดีพีไทยปรับลดลง 1.07%
ส่วนกรณีการเก็บภาษีตอบโต้ของสหรัฐแบ่งออกเป็น 3 กรณี คือ 1.จัดเก็บอัตรา 10% จะกระทบส่งออก 74,055 ล้านบาท ฉุดจีดีพีลดลง 0.40% 2.จัดเก็บภาษี 15-20% กระทบส่งออก 131,806 ล้านบาท ฉุดจีดีพีลง 0.71% และ 3.จัดเก็บภาษี 25-30% กระทบส่งออก 201,860 ล้านบาท ฉุดจีดีพีลดลง 1.09%
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 26 มิถุนายน 2568