เจาะยุทธศาสตร์จีนเดินหมากหลากมิติ ขยายอิทธิพล-กดดันคู่แข่ง
จีนเคลื่อนไหวหลากหลายมิติในเวทีระหว่างประเทศ ทั้งบทบาทในตะวันออกกลาง การขยายสัมพันธ์กับแอฟริกา และพัฒนาการด้านความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
จีนแสดงบทบาทเชิงรุกในเวทีระหว่างประเทศอย่างชัดเจนในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยการเคลื่อนไหวทางการทูต เศรษฐกิจ และความมั่นคงในหลายภูมิภาค ตั้งแต่ตะวันออกกลาง แอฟริกา ไปจนถึงไต้หวันและทะเลจีนใต้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมและมุ่งขยายอิทธิพลของประเทศ
กรณีความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและอิสราเอล จีนแสดงจุดยืนเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง โดยรัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้หารือกับเจ้าหน้าที่อิหร่าน พร้อมเน้นย้ำความจำเป็นในการเจรจาและลดระดับความขัดแย้ง ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนความห่วงใยของจีนต่อเสถียรภาพในภูมิภาคที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ โดยเฉพาะเมื่ออิหร่านเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ให้จีน
ในอีกด้านหนึ่ง จีนขยายบทบาททางเศรษฐกิจในทวีปแอฟริกา โดยประกาศยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าทั้งหมดจาก 53 ประเทศในแอฟริกา ยกเว้นเอสวาตินี ซึ่งยังคงมีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน การตัดสินใจนี้ถูกประกาศระหว่างการประชุม Forum on China-Africa Cooperation (FOCAC) ที่เมืองฉางซา พร้อมกับข้อความจากผู้นำจีนที่เน้นย้ำการสนับสนุนความร่วมมือพหุภาคีและการค้าเสรี
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ความเคลื่อนไหวระหว่างจีนและไต้หวันยังคงเป็นประเด็นสำคัญ โดยศาลไต้หวันมีคำพิพากษาจำคุกกัปตันเรือสัญชาติจีนในคดีตัดสายเคเบิลใต้น้ำ ซึ่งถือเป็นคดีแรกในลักษณะนี้ที่มีการตัดสินลงโทษ ทั้งนี้ ทางการไต้หวันระบุว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นในน่านน้ำภายในประเทศ และสร้างความเสียหายต่อโครงข่ายโทรคมนาคมระหว่างไต้หวันและหมู่เกาะเผิงหู
ในขณะที่ความพยายามถอดถอนสมาชิกสภาไต้หวันจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่งผลให้กระแสสนับสนุนของพรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) อาจเผชิญความท้าทายเพิ่มเติม โดยมีกรณีเจ้าหน้าที่ของพรรคถูกกล่าวหาว่าปลอมแปลงลายเซ็นในบางคำร้อง
อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่ได้รับความสนใจคือการที่อดีตประธานาธิบดีหม่าอิงจิ่วของไต้หวัน เข้าร่วมเวที Straits Forum ที่จัดขึ้นในจีน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือข้ามช่องแคบไต้หวัน การเข้าร่วมครั้งนี้ได้รับคำวิจารณ์จากฝ่ายรัฐบาลไต้หวัน แต่ก็สะท้อนความพยายามของทั้งสองฝ่ายในการรักษาช่องทางการสื่อสารระหว่างกัน แม้จะมีมุมมองที่แตกต่างทางการเมือง
ในมิติด้านความมั่นคง ข้อมูลจากสถาบันวิจัยอาวุธนิวเคลียร์ SIPRI ระบุว่าจีนได้เพิ่มจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ถึง 100 หัวในรอบปีที่ผ่านมา ทำให้จีนเป็นประเทศที่มีการเติบโตของคลังแสงนิวเคลียร์เร็วที่สุดในโลก ขณะที่ยังคงนโยบาย “ไม่ใช้ก่อน” ซึ่งเป็นหลักการที่จีนยึดถือมาตั้งแต่ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ครั้งแรกในปี 1964
ในระดับภูมิภาค ญี่ปุ่นแสดงความกังวลต่อพฤติกรรมของเครื่องบินรบ J-15 จากเรือบรรทุกเครื่องบินจีนที่บินใกล้กับเครื่องบินลาดตระเวนของญี่ปุ่น โดยกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นระบุว่าอาจเป็นความเสี่ยงต่อความปลอดภัย ขณะที่จีนยืนยันว่าการดำเนินการดังกล่าวอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายระหว่างประเทศ
ส่วนในทะเลจีนใต้ ฟิลิปปินส์มีแผนส่งกำลังทหารประจำการบนหมู่เกาะที่ครอบครองอยู่ในหมู่เกาะสแปรตลีย์ เพื่อเสริมกำลังให้กับหน่วยงานรักษากฎหมายที่มีอยู่แล้ว ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังมีข้อพิพาทระหว่างฟิลิปปินส์และจีนเกี่ยวกับสิทธิในเขตน่านน้ำ โดยจีนแสดงความกังวลต่อการฝึกซ้อมร่วมระหว่างฟิลิปปินส์กับพันธมิตรนอกภูมิภาค
ภาพรวมของสถานการณ์สะท้อนให้เห็นถึงพลวัตทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนในหลายภูมิภาคทั่วโลก จีนกำลังขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่ใช้ทั้งเครื่องมือทางเศรษฐกิจ การทูต และความมั่นคงเพื่อเสริมสร้างอิทธิพลในระดับโลก ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในดุลอำนาจระหว่างประเทศที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 26 มิถุนายน 2568