70 ยังแจ๋ว! เดนมาร์ก ปรับอายุเกษียณเพื่อรับมือประชากรสูงวัย
เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 รัฐสภาเดนมาร์กเห็นชอบร่างกฎหมายปรับอายุเกษียณที่มีสิทธิได้รับบำนาญของรัฐ (state pension age) จากเดิม 67 ปี เป็น 70 ปี ภายในปี 2583 สำหรับผู้ที่เกิดหลังวันที่ 31 ธันวาคม 2513 ส่งผลให้เดนมาร์กมีอายุเกษียณสูงที่สุดในยุโรป และอาจสูงที่สุดในโลก โดยร่างกฎหมายนี้เป็นผลสืบเนื่องจากข้อตกลง Walfare Agreement ปี 2549 ซึ่งกำหนดให้มีการปรับอายุเกษียณตามอายุขัยของประชากร เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรและวางรากฐานความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว
รัฐบาลเดนมาร์กได้ใช้กลไกการปรับดัชนี (indexation mechanism) ที่เชื่อมโยงอายุเกษียณตามกฎหมายกับอายุขัยเฉลี่ยของประชากรอายุ 60 ปี เพื่อให้ประชาชนในแต่ละช่วงวัยมีระยะเวลาหลังเกษียณใกล้เคียงกันที่ประมาณ 14.5 ปี กลไกนี้จะได้รับการทบทวนทุก 5 ปี และประกาศล่วงหน้า 15 ปี เพื่อให้สังคมและตลาดแรงงานสามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม สะท้อนถึงความตั้งใจของเดนมาร์กในการออกแบบระบบบำนาญให้เท่าทันกับสภาพความเป็นจริงของสังคมสูงวัยในระยะยาว

อายุเกษียณของเดนมาร์ก
ในทางปฏิบัติ เดนมาร์กได้กำหนดแผนการปรับอายุเกษียณอย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้สอดคล้องกับกลไกที่เชื่อมโยงกับอายุขัยของประชากร โดยมีลำดับการปรับเพิ่ม ดังนี้
* ปัจจุบัน (ปี 2568) อายุเกษียณในเดนมาร์กอยู่ที่ 67 ปี
* ในปี 2573 อายุเกษียณจะเพิ่มเป็น 68 ปี
* ในปี 2578 อายุเกษียณจะเพิ่มเป็น 69 ปี
* ในปี 2583 อายุเกษียณจะเพิ่มเป็น 70 ปี
เหตุผลหลักในการปรับเพิ่มอายุเกษียณ :
การปรับเพิ่มอายุเกษียณของเดนมาร์กเป็นนโยบายที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของปัจจัยด้านประชากรศาสตร์และเสถียรภาพทางการคลัง โดยมีเหตุผลหลัก 3 ประการ ดังนี้
(1)แนวโน้มอายุขัยของประชากรที่สูงขึ้น สุขภาพที่ดีขึ้นทำให้ประชากรเดนมาร์กมีอายุยืนยาวขึ้น ส่งผลให้ช่วงวัยหลังเกษียณยาวนานขึ้นตามไปด้วย การเพิ่มอายุเกษียณจึงช่วยปรับสมดุลระหว่างระยะเวลาการทำงานและระยะเวลาการรับบำนาญ การทำงานนานขึ้นยังส่งผลให้มีการสมทบเงินเข้ากองทุนบำนาญมากขึ้น ช่วยเสริมความมั่นคงทางการเงินของผู้เกษียณ และลดการพึ่งพาระบบรัฐ ทั้งนี้ จากข้อมูลสถิติอย่างเป็นทางการ เดนมาร์กมีประชากรประมาณ 6 ล้านคน โดยราว 713,000 คนมีอายุระหว่าง 60–69 ปี และประมาณ 580,000 คนมีอายุระหว่าง 70–79 ปี ขณะเดียวกัน ยังมีผู้สูงอายุที่ยังทำงานอยู่ประมาณ 80,000 คน และตัวเลขนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
(2)โครงสร้างประชากรและความยั่งยืนทางการคลัง อัตราการเกิดที่ลดลงและสัดส่วนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ระบบบำนาญของรัฐมีภาระมากขึ้น รัฐบาลจึงต้องหาวิธีลดแรงกดดันต่อระบบการเงินในระยะยาว โดยกระทรวงการจ้างงานของเดนมาร์กประเมินว่า การปรับอายุเกษียณเป็น 70 ปี ภายในปี 2583 จะช่วยเสริมรายได้ของภาครัฐได้ประมาณ 15,000 ล้านโครนเดนมาร์ก (หรือประมาณ 36,500 ล้านบาท)
(3)สร้างความเป็นธรรมระหว่างรุ่น การปรับอายุเกษียณยังมีเป้าหมายเพื่อกระจายภาระทางการคลังอย่างเป็นธรรมระหว่างประชากรในแต่ละรุ่น เพื่อไม่ให้คนรุ่นใหม่ต้องแบกรับภาระของระบบบำนาญในสัดส่วนที่ไม่สอดคล้องกับโครงสร้างประชากรที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การตอบรับของสังคมเดนมาร์ก
การปรับอายุเกษียณเป็น 70 ปีภายในปี 2583 ได้รับการตอบรับค่อนข้างดีจากสังคมเดนมาร์ก แตกต่างจากกระแสคัดค้านในบางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส ความยอมรับนี้เกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการวางแผนที่รอบคอบและโปร่งใส การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและมีการประกาศล่วงหน้านาน โดยมีรากฐานจากข้อตกลง Welfare Agreement ปี 2549 ทำให้ประชาชนมีเวลาเตรียมตัวและเข้าใจถึงเหตุผลเบื้องหลังการปรับนโยบาย
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีมาตรการรองรับที่ตอบโจทย์ความกังวลของประชาชน เช่น การจัดตั้งระบบ Arne Pension ในปี 2564 ที่เปิดทางให้ผู้มีอาชีพใช้แรงงานหนักสามารถเกษียณก่อนกำหนดได้ รวมถึงการสร้างความยืดหยุ่นในตลาดแรงงานสำหรับผู้สูงอายุ โดยเปิดโอกาสให้ลดชั่วโมงทำงานหรือรับบำนาญบางส่วนควบคู่กับการทำงานตามความเหมาะสม ทั้งยังไม่มีข้อจำกัดสำหรับผู้ที่ต้องการเกษียณก่อนกำหนดหากมีเงินออมเพียงพอ ขณะเดียวกัน ชาวเดนมาร์กจำนวนไม่น้อยเลือกทำงานต่อหลังเกษียณด้วยความสมัครใจ จากเหตุผลทางเศรษฐกิจ แรงจูงใจด้านภาษี หรือความต้องการมีบทบาทในสังคม
นัยยะสำหรับยุโรป :
นโยบายเพิ่มอายุเกษียณของเดนมาร์กมีความหมายต่อยุโรปในหลายมิติ โดยเฉพาะในบริบทของการรับมือกับสังคมผู้สูงอายุที่กำลังเป็นความท้าทายร่วมทั่วทั้งภูมิภาค
* ต้นแบบการปฏิรูป เดนมาร์กเป็นประเทศแรกในยุโรปที่กำหนดอายุเกษียณเป็น 70 ปีอย่างเป็นทางการ จึงกลายเป็นกรณีศึกษาและต้นแบบสำหรับประเทศอื่นที่กำลังเผชิญปัญหาโครงสร้างประชากรที่คล้ายกัน
* แรงกดดันเชิงนโยบาย ความสำเร็จของเดนมาร์กอาจกดดันให้ประเทศอื่นต้องทบทวนนโยบายบำนาญของตน โดยเฉพาะในบริบทที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และคณะกรรมาธิการการคลังยุโรป (European Fiscal Board) ได้เตือนต่อเนื่องถึงปัญหาความไม่สมดุลระหว่างรุ่น และภาระงบประมาณบำนาญที่เสี่ยงไม่ยั่งยืน
* การสนับสนุนผู้สูงอายุทำงานต่อ โมเดลของเดนมาร์กยังเน้นส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจ ด้วยการจัดรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น เช่น งานพาร์ทไทม์ สภาพแวดล้อมที่เหมาะกับวัย หรือการอบรมทักษะใหม่ ๆ เพื่อรองรับการทำงานในช่วงวัยที่ยาวขึ้น
* ผลต่อการเคลื่อนย้ายแรงงานในยุโรป อายุเกษียณที่แตกต่างกันระหว่างประเทศสมาชิกอียูอาจส่งผลต่อการเคลื่อนย้ายแรงงาน โดยผู้มีศักยภาพอาจเลือกทำงานในประเทศที่เปิดโอกาสให้ทำงานได้นานขึ้นเพื่อผลตอบแทนที่ดีกว่า หรือในทางกลับกัน อาจมุ่งไปยังประเทศที่เกษียณเร็วกว่า หากฐานะการเงินส่วนตัวเอื้ออำนวย
ข้อมูล: สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโคเปนเฮเกน
ที่มา globthailand
วันที่ 18 กรกฏาคม 2568