38 ชั่วโมงจากสวนถึงหน้าบ้าน ชมพู่เพชรไทยบินลัดฟ้าสู่เฉิงตู
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ได้มีการนำเข้าชมพู่เพชรสดจากประเทศไทย น้ำหนักราว 555 กิโลกรัม ผ่านท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูเทียนฝู นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีการนำเข้าชมพู่เพชรสดจากไทยผ่านด่านศุลกากรนครเฉิงตู โดยสินค้าได้รับการตรวจผ่าน “ช่องทางสีเขียว” สำหรับรับสินค้าการเกษตรและอาหารสดที่เน่าเสียได้ง่ายของศุลการกรอย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถดำเนินการตรวจสอบและปล่อยสินค้าได้ทันที เพื่อรับประกันความสดใหม่ของสินค้า
โดยเจ้าหน้าที่ศุลการกรเฉิงตูระบุว่า ตั้งแต่ขั้นตอนการเก็บเกี่ยว การขนส่ง ใช้เวลาไม่ถึง 38 ชั่วโมง ซึ่งความคล่องตัวและประสิทธิภาพของศุลกากรดังกล่าวทำให้ระยะเวลาที่ขนส่งผลไม้จากสวนถึงมือผู้บริโภคสั้นลงอย่างมาก โดยหลังจากเสร็จสิ้นจากด่านศุลกากร ชมพู่เพชรจะถูกขนส่งต่อไปยังเมืองหางโจวเพื่อจำหน่าย โดยใช้วิธี “การขนส่งทางอากาศ-อากาศ” (Air to Air Transshipment) หมายถึงรูปแบบการขนส่งวิธีใช้ ท่าอากาศยานเป็นจุดพักกลาง และส่งต่อสินค้าด้วยเที่ยวบินถัดไปหรือหลายเที่ยวบินต่อเนื่องกัน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้อย่างมาก
ผู้แทนบริษัทผู้นำเข้าชมพู่เพชรเผยว่า ผลไม้ชนิดนี้มีเงื่อนไขด้านเวลาในการขนส่งค่อนข้างมาก หากใช้เวลานานไปเปลือกชมพู่อาจจะเปลี่ยนสีได้ เนื้อผลไม้ก็จะนิ่มลง พร้อมระบุว่า “เหตุผลที่เราเลือกนำเข้าผ่านท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตูเทียนฝู เพราะที่นี่มีเครือข่ายเส้นทางบินหนาแน่น และพิธีศุลกากรมีประสิทธิภาพสูงช่วยอำนวยความสะดวกได้อย่างมาก ทำให้ชมพู่เพชรส่งถึงมือผู้บริโภคได้อย่างสดใหม่และรสชาติดี”
ซึ่งในปัจจุบันมีเที่ยวบินตรงระหว่างนครเฉิงตูและกรุงเทพมหานครมากที่สุดถึงวันละประมาณ 20 เที่ยวบิน ด้วยหลากหลายสายการบิน เช่น การบินไทย Thai AirAsia, Thai Lion Air, Air China, Sichuan Airline และ China Eastern Airlines เครือข่ายเที่ยวบินที่ไม่เพียงแค่มอบความสะดวกแก่ผู้โดยสารและยังเป็นปัจจัยที่สนับสนุนการนำเข้าและการส่งออกสินค้าเกษตรสดอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
การส่งออกชมพู่เพชรสดไปยังจีนนั้นสามารถทำได้ด้วยความรวดเร็วและรักษาคุณภาพให้คงที่ได้อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของไทยในฐานะประเทศต้นทางของสินค้าการเกษตรคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ความต้องการ ช่วยขยายตลาดให้แก่เกษตรกรไทยสำหรับสินค้าเกษตรหลายชนิด เปิดโอกาสให้ผู้ส่งออกไทยได้มีความมั่นใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงเรื่องความเสียหายจากการขนส่ง และการขนส่งสินค้าเกษตรสดทางอากาศจากไทยไปจีนโดยผ่านสนามบินใหญ่อย่างเฉิงตูเทียนฝู่มีข้อได้เปรียบอย่างชัดเจนอย่างความ “รวดเร็ว” ในการขนส่ง ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบอย่างยิ่งสำหรับผลไม้พรีเมี่ยมที่เน่าเสียง่าย เพราะยิ่งส่งถึงเร็ว ก็ยิ่งรักษาความสด สี และเนื้อสัมผัสได้ดี
การมีเครือข่ายเที่ยวบินตรงที่หนาแน่น ระหว่างไทยกับจีนจะช่วยอำนวยความสะดวกในการกระจายสินค้าไปยังเมืองต่างๆของจีนได้อย่างดี อาจเป็นโอกาสสำคัญของไทยในการก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกผลไม้สดไปยังภูมิภาคต่างๆ ด้วยมาตรฐานการบรรจุ การขนส่ง และระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย ถือเป็นการสร้างรากฐานและโอกาสใหม่ให้แก่เกษตรกรไทยเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้มากขึ้นในอนาคต (ข้อมูล: สถานกงสุลใหญ่ ณ นครเฉิงตู, เรียบเรียงโดย: ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์)
ที่มา globthailand
วันที่ 8 สิงหาคม 2568