ไต้หวันเร่งเครื่องเศรษฐกิจเทคโนโลยี ส่งออกพุ่ง-ลงทุนใหม่สู่อนาคต AI
ภาพรวมเศรษฐกิจไต้หวัน :
เศรษฐกิจไต้หวันในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดย GDP ไตรมาสแรกขยายตัวถึงร้อยละ 5.48 จากแรงผลักดันของภาคส่งออกสินค้าเทคโนโลยี โดยเฉพาะในกลุ่ม ICT เซมิคอนดักเตอร์ และ AI อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกทำให้สำนักสถิติฯ ต้องปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ทั้งปีลงเหลือร้อยละ 3.1 จากเดิมที่เคยประเมินไว้ร้อยละ 4.3
มูลค่าการค้า :
ไต้หวันมีมูลค่าการส่งออกระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน 2568 รวม 243,259 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 33.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 20 ส่วนการนำเข้าอยู่ที่ 227,560 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 54.32 โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากความต้องการในสินค้าเทคโนโลยี AI และ HPC ที่เพิ่มขึ้น และการเร่งสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าเนื่องจากความกังวลต่อมาตรการภาษีของสหรัฐฯ

การลงทุน :
การลงทุนของไต้หวันในต่างประเทศ (ไม่นับรวมจีน) ช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 18,311 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 24.29 ขณะที่การลงทุนในจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึงร้อยละ 62.86 เหลือเพียง 574 ล้านดอลลาร์ โดยจุดหมายหลักของการลงทุนยังคงเป็นสหรัฐฯ ตามด้วยสิงคโปร์ เนเธอร์แลนด์ และญี่ปุ่น ส่วนประเทศในกลุ่มนโยบาย New Southbound Policy (NSP) ได้แก่ สิงคโปร์ เวียดนาม ไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศในไต้หวันมีมูลค่ารวม 7,365 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนใหญ่มาจากสหราชอาณาจักร สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น
สถานการณ์เงินเฟ้อ :
สถานการณ์เงินเฟ้อในไต้หวันยังอยู่ในระดับควบคุมได้ โดยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิถุนายนอยู่ที่ 109.19 ลดลงร้อยละ 1.55 จากเดือนพฤษภาคม และต่ำกว่าระดับเฝ้าระวังของธนาคารกลาง อย่างไรก็ตาม ไต้ฝุ่นดานัสที่พัดถล่มพื้นที่เกษตรกรรมได้สร้างแรงกดดันให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นในเดือนกรกฎาคม
สถานการณ์การจ้างงาน :
ด้านตลาดแรงงาน ไต้หวันมีอัตราการว่างงานเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ร้อยละ 3.33 ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีผู้ว่างงานประมาณ 404,000 คน และมีการจ้างงานรวม 11.61 ล้านตำแหน่ง
การประกาศนโยบายสำคัญของรัฐบาลไต้หวัน
(1)การขยายโครงการฝึกงานของนักศึกษาต่างชาติในภาคบริการ
เพื่อแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงาน ซึ่งอุตสาหกรรมการบริการของไต้หวันกำลังประสบปัญหาขาดแคลนแรงงานกว่า 5,000 – 6,000 คน โดยได้ประกาศขยายคุณสมบัติของนักศึกษาต่างชาติที่สามารถฝึกงานในภาคบริการให้ครอบคลุมนักศึกษาสาขากีฬาและสันทนาการ การจัดการ ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน จากเดิมที่เคยเปิดรับเฉพาะนักศึกษาสาขาการโรงแรม ศิลปะการประกอบอาหาร และการท่องเที่ยว
(2)สภาบริหาร (ครม.) ไต้หวัน อนุมัติงบประมาณ 27,000 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน เพื่อเปิดให้บริการเครือข่ายไร้สาย 6G เชิงพาณิชย์ในปี 2573
เพื่อส่งเสริมบทบาทของไต้หวันในด้านการสื่อสารอัจฉริยะ โดยการใช้งบประมาณจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาเทคโนโลยี 6G การสื่อสารผ่านดาวเทียม การวิจัยและพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อใช้ในอุปกรณ์ด้านการสื่อสารแห่งอนาคต และการพัฒนาเทคโนโลยี 6G กับอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น การแพทย์ทางไกล และการขนส่งอัจฉริยะ รวมทั้งการส่งเสริมให้ไต้หวันสามารถพึ่งพาตนเองในการพัฒนา hardware และ software ด้าน 6G รวมทั้งการสร้างระบบสื่อสารดาวเทียมวงจรต่ำ (LEO) โดยใช้วัตถุดิบด้านการผลิตภายในไต้หวันให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 80
(3)โครงการ Ten Major AI Infrastructure Projects
เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรม AI ให้ได้มากกว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์ไต้หวัน ภายในปี 2583 และสร้างงาน 500,000 ตำแหน่ง โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่สำคัญ 3 ด้าน ได้แก่
3.1) เทคโนโลยี Silicon Photonics ซึ่งใช้ซิลิคอนเป็นวัสดุพื้นฐานในการสร้างวงจรประมวลผลและส่งข้อมูลด้วยแสง เพื่อเพิ่มความเร็วในการประมวลผลและส่งผ่านข้อมูล
3.2) Quantum Technology and Quantum Computer ที่มีประสิทธิภาพในการประมวลผลสูงสุดในระดับโลก และ
3.3) เทคโนโลยีหุ่นยนต์อัจฉริยะ (AI Robotics) นอกจากนี้ รัฐบาลไต้หวันยังต้องการจะพัฒนานวัตกรรม AI ที่เป็นของตนเอง รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์และ AI ที่ครบวงจรในทั่วทุกภูมิภาคและในทุกสาขาอุตสาหกรรมของไต้หวัน และการจัดตั้งกองทุนเพื่อระดมทุนการศึกษาด้านการพัฒนา AI กว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ไต้หวัน โดยมีแผนจะจัดตั้งสถาบันวิจัยนานาชาติด้าน AI อีก 3 แห่งเพื่อรองรับการก้าวไปเป็นผู้นำด้าน AI ในระดับโลก
ความสัมพันธ์เศรษฐกิจระหว่างไทย – ไต้หวัน :
การค้า :
การค้าระหว่างไทย – ไต้หวัน ระหว่างเดือนมกราคม – มิถุนายน 2568 มีมูลค่ารวม 10,085 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไต้หวันส่งออกมาไทย 6,849 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไต้หวันส่งออกมาไทย 6,849 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจากไทย 3,237 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยเป็นคู่ค้าลำดับที่ 12 ของไต้หวัน ขณะที่สินค้าส่งออกจากไต้หวันมาไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า (2) แร่โลหะ และ (3) พลาสติกและยาง ในส่วนของสินค้านำเข้าจากไทยไปไต้หวัน 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า (2) อาหารปรุงสำเร็จ เครื่องดื่ม สุรา น้ำส้มสายชู และยาสูบ และ (3) พลาสติกและยาง
การลงทุน
กระทรวงเศรษฐกิจไต้หวันระบุว่า ในช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน 2568 มีโครงการลงทุนของไต้หวันในไทยที่ได้รับการอนุมัติแล้วจำนวน 41 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 533.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 69.73) อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด ได้แก่ (1) การผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (2) การผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก (3) การผลิตเครื่องจักรและอุปกรณ์ ขณะที่มีโครงการลงทุนจากไทยไปไต้หวันจำนวน 23 โครงการ คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 1.25 ล้าน (ลดลงร้อยละ 77.99) อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด ได้แก่ (1) การค้าส่งและค้าปลีก (2) ด้านบริการทางวิชาชีพ วิทยาศาสตร์ และทางเทคนิค และ (3) การเงินและการประกันภัย
แรงงาน :
จากข้อมูลของกระทรวงแรงงานไต้หวัน พบว่า เดือนมิถุนายน 2568 มีจำนวนแรงงานไทยในไต้หวันทั้งสิ้น 69,839 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.34 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ติดเป็นร้อยละ 8.27 ของแรงงานต่างชาติทั้งหมด
การท่องเที่ยว :
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาไทย รายงานว่า ในช่วงเดือนมกราคม – มิถุนายน 2568 นักท่องเที่ยวไต้หวันเดินทางมาไทย จำนวน 499,806 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ร้อยละ 6.28 ขณะที่กรมการท่องเที่ยวไต้หวัน ระบุว่า ในเดือนมกราคม – พฤษภาคม 2568 มีนักท่องเที่ยวจากไทยไปไต้หวัน จำนวน 178,215 คน ลดจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ร้อยละ 5.76
ทั้งนี้ การเจรจาภาษีระหว่างไต้หวันกับสหรัฐฯ ถือเป็นตัวแปรสำคัญของเศรษฐกิจในช่วงปลายปี โดยล่าสุด รองนายกรัฐมนตรีไต้หวันเดินทางไปเจรจาโค้งสุดท้ายกับสหรัฐฯ ก่อนการบังคับใช้อัตราภาษีใหม่ในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ซึ่งไต้หวันหวังจะใช้การลงทุนของ TSMC ในสหรัฐฯ มูลค่า 165,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นแต้มต่อเพื่อขอลดภาษี และยังมีแผนเพิ่มการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากสหรัฐฯ จากเดิมร้อยละ 10 ให้เป็นร้อยละ 20–30 ในระยะต่อไป
ที่มา globthailand
วันที่ 8 สิงหาคม 2568