สินค้าจีนจ่อทะลักเข้าไทย หลังสหรัฐฯ ขึ้นภาษี 19% สนค. แนะรับมือด่วน
KEY POINTS :
* สหรัฐฯ ขึ้นภาษีสินค้าจีนในอัตรา 34% ซึ่งสูงกว่าที่เก็บจากไทย (19%) ทำให้เกิดความเสี่ยงที่สินค้าจีนจะเบี่ยงเบนเส้นทางการค้าและทะลักเข้าสู่ตลาดไทยแทน
* สนค. ประเมินว่าจีนเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุด เนื่องจากมีส่วนต่างอัตราภาษีกับไทยมากที่สุด ประกอบกับแรงกดดันจากสงครามการค้า และความสะดวกจากข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน
* การทะลักของสินค้าอาจส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะ SMEs โดยมีสินค้า 24 รายการถูกจัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูง และ สนค. ได้เสนอมาตรการรับมือแล้ว
นางสาวณิชชาภัทร กาญจนอุดมการ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์การพัฒนา ความสามารถทางการแข่งขัน เปิดเผยว่า ผลการศึกษาการวิเคราะห์การเบี่ยงเบนทางการค้า กรณีการไหลทะลักของสินค้าจีนหลังสหรัฐฯ กำหนดภาษีต่างตอบแทนจากไทย 19% ผลการศึกษาพบว่า จีนเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุด ที่จะเบี่ยงเบนเส้นทางการค้าและส่งออกสินค้าทะลักเข้ามายังประเทศไทย พร้อมเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อเตรียมการรับมือ

ทั้งนี้ ตามที่สหรัฐฯ ได้ประกาศอัตราภาษีศุลกากรต่างตอบแทนใหม่เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 โดยกำหนดอัตราภาษีสำหรับไทยที่ 19% แต่กำหนดอัตราที่สูงกว่ากับประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยหลายประเทศ เช่น จีน (34%) ไต้หวัน (20%) เวียดนาม (20%) และอินเดีย (25%) ได้สร้างความเสี่ยงที่จะเกิดการเบี่ยงเบนทางการค้า (Trade Diversion) ซึ่งสินค้าจากประเทศที่ถูกเก็บภาษีในอัตราสูงอาจทะลักเข้ามาในตลาดไทยแท้
ขณะเดียวกัน สถานการณ์ดังกล่าวแม้จะมีข้อดีในการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคและกระตุ้นการแข่งขัน แต่หากการไหลทะลักดังกล่าวรุนแรงเกินไปจะส่งผลเสียต่อภาคการผลิตภายในประเทศ โดยเฉพาะ SMEs ที่ไม่สามารถแข่งขันได้ จนนำมาสู่การลดกำลังการผลิต การจ้างงาน อีกทั้งยังส่งผลให้ขาดดุลการค้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง
สนค. จึงได้ทำการศึกษาผลกระทบและประเมินความเสี่ยงเพื่อเตรียมมาตรการรับมือเชิงรุก เพื่อให้ภาครัฐและผู้ประกอบการไทยสามารถรับมือกับผลกระทบเชิงลบได้อย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ สนค. ทำการศึกษาวิเคราะห์โอกาสการเบี่ยงเบนเส้นทางการค้า (Trade Diversion) โดยพิจารณาจากปัจจัย 6 ด้านหลัก ได้แก่
* ช่องว่างอัตราภาษีและต้นทุน
* โครงสร้างสินค้าและอุปสงค์
* ห่วงโซ่อุปทานและข้อตกลงการค้า
* โลจิสติกส์และภูมิศาสตร์
* ปัจจัยด้านเศรษฐกิจมหภาคและอัตราแลกเปลี่ยน
* นโยบายกำกับและการบังคับใช้ พบว่า จีนยังคงเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดที่จะมีการไหลทะลักของสินค้าเข้ามาในไทย เนื่องจากมีส่วนต่างอัตราภาษีกับไทยมากที่สุดถึง 15% ประกอบกับแรงกดดันจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน (Overcapacity) และการอุดหนุนจากภาครัฐที่ทำให้มีต้นทุนการผลิตต่ำ
นอกจากนี้ ความเชื่อมโยงในห่วงโซ่อุปทานที่มีอยู่เดิมและความสะดวกทางการค้าภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ยิ่งเอื้อให้สินค้าจีนเข้าสู่ตลาดไทยได้ง่ายขึ้น
สำหรับข้อมูลเชิงประจักษ์จากการวิเคราะห์การไหลทะลักของสินค้าจากดัชนีการไหลทะลักของสินค้า (Spill-over Index) ยืนยันสถานการณ์การไหลทะลักของสินค้าจากจีน โดยค่าดัชนีได้พุ่งขึ้นจากระดับ 100 ในปี 2561 (ก่อนสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน) มาอยู่ที่ระดับสูงสุด 130 ในปี 2567 ภายในช่วง 7 ปี ซึ่งบ่งชี้ถึงการไหลเข้าของสินค้าจีนที่เร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
โดยกลุ่มสินค้าที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ ได้แก่ กลุ่มยานพาหนะและส่วนประกอบ กลุ่มสินค้าภาคอุตสาหกรรม และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อชี้เป้าสินค้าที่มีความเสี่ยงสูง สนค. ได้พัฒนาระบบเตือนภัย (Warning System) ขึ้นโดยใช้ 3 ตัวชี้วัดสำคัญได้แก่
* ส่วนแบ่งนำเข้าจากจีน
* อัตราการขยายตัวของมูลค่านำเข้า
* ช่องว่างราคานำเข้า จากจีนมากกว่าช่องว่างราคาจากโลก
นอกจากนี้ยังมีกาาจัดกลุ่มจำแนกตามความเสี่ยงการไหลทะลักของสินค้าจีนออกเป็น 5 ระดับได้แก่ สูง ค่อนข้างสูง เฝ้าระวัง ค่อนข้างเฝ้าระวัง และต่ำ ซึ่งผลการประเมินสินค้าที่ไทยนำเข้าจากจีนจำนวน 1,149 รายการ พบว่าส่วนใหญ่จำนวน 904 รายการ (78.7%) ยังอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงต่ำกลุ่มค่อนข้างเฝ้าระวัง 38 รายการ
อย่างไรก็ตาม มีสินค้า 24 รายการที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยง "สูง" 17 รายการอยู่ในกลุ่ม "ค่อนข้างสูง" และอีก 166 รายการอยู่ในกลุ่ม "เฝ้าระวัง" ซึ่งสินค้ากลุ่มเสี่ยงไหลทะลักในระดับ “เฝ้าระวัง”-“สูง” เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุนและสินค้าอุตสาหกรรม ซึ่งแม้จะเป็นประโยชน์ต่อภาคการผลิตในเชิงต้นทุนและการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แต่การพึ่งพิงการนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้จากจีนในสัดส่วนที่สูงเกินไป ก่อให้เกิดความเสี่ยงและความเปราะบางต่อความผันผวนของราคา นโยบาย และข้อจำกัดด้านห่วงโซ่อุปทานที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ขณะเดียวกันสินค้าอุปโภคบริโภคที่แข่งขันโดยตรงกับผู้ผลิตในประเทศหลายรายการ เช่น สุรา กะหล่ำปลี เสื้อผ้า และเครื่องเรือนพลาสติก ก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs
อย่างไรก็ตาม สนค. ได้จัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อรับมือกับการไหลทะลักของสินค้าจีน โดยแบ่งเป็นมาตรการระยะสั้นที่เน้นการเฝ้าระวังเชิงรุกและการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น และมาตรการระยะกลางถึงยาวที่มุ่งเน้นการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน
ทั้งนี้ สนค. จะนำผลการศึกษาและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายทั้งหมดเข้าหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กรมการค้าต่างประเทศ กรมศุลกากร และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เพื่อประมวลผลความคิดเห็นและข้อมูล ก่อนจะนำมาสู่การจัดทำยุทธศาสตร์เชิงรุกเพื่อรับมือกับสถานการณ์การไหลทะลักของสินค้าอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 4 กันยายน 2568