ไทยยังต้องจ่าย "ภาษีทรัมป์" ต่อเนื่อง แม้ศาลฎีกาสหรัฐ จ่อคว่ำคำสั่ง เสี่ยงโดนอีกไม่น้อยกว่า 1 ปี
KEY POINTS :
* สินค้าไทยยังคงถูกสหรัฐ เรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อไป แม้ว่าศาลฎีกาสหรัฐ จะรับพิจารณาคดีความชอบด้วยกฎหมายของนโยบายภาษีดังกล่าว
* คำตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐ คาดว่าจะออกมาระหว่างปลายปี 2568 ถึงกลางปี 2569 ซึ่งหมายความว่าไทยจะยังคงเผชิญกับภาษีนี้ต่อไปอีกอย่างน้อย 1 ปี
* ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าแม้ศาลจะคว่ำคำสั่งเก็บภาษี แต่สหรัฐ ยังสามารถใช้กฎหมายอื่นเพื่อออกมาตรการกีดกันทางการค้าได้อีก ทำให้ความเสี่ยงยังคงอยู่
สินค้าไทยยังคงถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐอีก 19% ภายใต้นโยบาย "ภาษีทรัมป์" แม้ขณะนี้ประเด็นอำนาจในการจัดเก็บภาษีจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลฎีกาสหรัฐอเมริกา ก็ตาม
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช นักวิชาการอิสระ และผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ระบุว่า ระหว่างรอผลคำตัดสิน ซึ่งจะออกอย่างเร็วในปลายปี 2568 และอย่างช้าในกลางปี 2569 สหรัฐ ยังเดินหน้าจัดเก็บภาษีนำเข้าเช่นเดิม โดยไทยจะได้รับผลกระทบต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 8 เดือน
“แม้ศาลฎีกาสหรัฐฯ จะรับคำอุทธรณ์ในกรณีที่ศาลอุทธรณ์มีคำตัดสินว่านโยบายภาษีของทรัมป์ขัดต่ออำนาจตามกฎหมาย IEEPA แต่ในระหว่างนี้ สหรัฐฯ ยังมีสิทธิ์เก็บภาษีอยู่” ดร.อัทธ์ กล่าว
ทั้งนี้หากศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า “ภาษีทรัมป์” ขัดต่อกฎหมาย IEEPA รัฐบาลสหรัฐฯ อาจต้องคืนเงินภาษีให้กับผู้ประกอบการนำเข้ามูลค่าระหว่าง 700,000 ล้านดอลลาร์ – 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะบั่นทอนความเชื่อมั่นทางการคลังอย่างหนัก เนื่องจากรัฐบาลอาจต้องออกพันธบัตรเพื่อระดมทุน ส่งผลให้ หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นอีก 3% จากปัจจุบันที่อยู่ราว 37 ล้านล้านดอลลาร์ ขึ้นเป็น 38 ล้านล้านดอลลาร์ทันที
นอกจากนี้ยังจะมีผลต่อเนื่องคือ ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนตัวลง และอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลงมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ดร.อัทธ์ วิเคราะห์ว่า แม้ศาลฎีกาจะตัดสินให้ภาษีทรัมป์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แต่รัฐบาลทรัมป์ยังสามารถหันไปใช้กฎหมาย Smoot-Hawley ปี 1930 หรือ Tariff Act มาตรา 338 ซึ่งเปิดทางให้สามารถเรียกเก็บภาษีตอบโต้สูงสุด 50% เป็นเวลา 5 เดือน โดยไม่จำกัดประเภทสินค้า ซึ่งอาจนำกลับมาใช้แทนในช่วงสุญญากาศหลังคำตัดสิน รวมถึงเครื่องมือทางภาษีตามกฎหมายอื่นของสหรัฐ ได้แก่ ม.232, 201 และ 301
นั่นหมายความว่า สินค้าไทยอาจยังต้องเผชิญกับภาษีการค้าจากสหรัฐฯ ต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 1 ปี ไม่ว่าสุดท้ายคำตัดสินจะออกมาอย่างไร
ดร.อัทธ์ ย้ำว่า การเปิดตลาด 0% ให้กับสินค้าสหรัฐฯ ภายใต้ข้อตกลงทางการค้าเดิมของไทยยังคงอยู่ต่อไป ไม่ได้รับผลกระทบจากคำตัดสินของศาล เนื่องจากเป็นคนละประเด็นกับนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ
สำหรับข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทยไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ไทยก็ยังต้องเผชิญกับการเก็บภาษีต่อไปในระยะสั้นถึงปานกลาง” ซึ่งมีข้อเสนอแนะ 3 แนวทางสำคัญสำหรับรัฐบาลใหม่ในการรับมือสถานการณ์นี้ ได้แก่
1)เร่งปรับตัวสินค้าไทย ให้สามารถแข่งขันได้ในภาวะที่ยังมีภาษีกีดกันการค้า
2)เชื่อมโยงกับห่วงโซ่การผลิตของกลุ่ม BRICS เพื่อกระจายความเสี่ยง
3)เจรจาจัดทำ FTA กับตลาดใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อเปิดโอกาสการส่งออกในระยะยาว
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 8 กันยายน 2568