รายงานสภาวะเศรษฐกิจของมณฑลเสฉวนและนครฉงชิ่งช่วงครึ่งแรกของปี 2568
(1)เศรษฐกิจมณฑลเสฉวน :
1.1)ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในมณฑล (GDP) :
ครึ่งแรกปี 2568 มณฑลเสฉวนมี GDP มูลค่า 3,191.82 พันล้านหยวน (446.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขยายตัว ร้อยละ 5.6 สูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศ โดยมีภาคบริการเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ
1.2)ภาคเกษตรกรรม :
เติบโต ร้อยละ 3.3 ผลผลิตหลัก ได้แก่ ข้าวฤดูร้อน เมล็ดเรพ ผัก ผลไม้ และชา ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนถึงความมั่นคงด้านอาหารของมณฑล
1.3)ภาคอุตสาหกรรม :
ขยายตัว ร้อยละ 7.3 นำโดยอุตสาหกรรมยานยนต์ เคมีภัณฑ์ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สื่อสาร รวมถึงอุตสาหกรรมไฮเทคและ “สามใหม่สีเขียว” ได้แก่ รถยนต์พลังงานใหม่ โซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่ลิเทียม โดยมีรายได้รวมกว่า 1,988.78 พันล้านหยวน และกำไรเพิ่มขึ้น ร้อยละ 7.0
1.4)ภาคบริการและการบริโภค :
ภาคบริการเติบโต ร้อยละ 6.0 โดยเฉพาะธุรกิจเช่าและบริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ มูลค่าการค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภคอยู่ที่ 1,416.02 พันล้านหยวน (198.24 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.6 สินค้าที่ขยายตัวเด่น ได้แก่ สมาร์ทโฟน เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องประดับ

1.5)การลงทุน :
การลงทุนสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.7 โดยมีการลงทุนภาคอุตสาหกรรมและเกษตรเป็นตัวขับเคลื่อน ขณะที่ภาคบริการยังหดตัว ส่วนอสังหาริมทรัพย์ยังชะลอตัวแต่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
1.6)การค้าต่างประเทศ :
มูลค่าการค้ารวม 519.09 พันล้านหยวน (72.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ครึ่งปีแรก โดยการส่งออกขยายตัว ร้อยละ 8.2 และการนำเข้าเพิ่ม ร้อยละ 3.4 สินค้าส่งออกหลัก ได้แก่ เครื่องจักร วัสดุใหม่ ผลิตภัณฑ์ชีวการแพทย์ และสินค้ากลุ่ม “สามใหม่สีเขียว” โดยเฉพาะโซลาร์เซลล์และแบตเตอรี่ลิเทียม
1.7)การค้ากับประเทศไทย :
เสฉวนนำเข้า 24.64 พันล้านหยวน (ลดลง ร้อยละ 15.0) และส่งออก 171.04 พันล้านหยวน (เพิ่มขึ้น ร้อยละ 169.9) เกินดุลการค้า 146.40 พันล้านหยวน โดยไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 10 ของมณฑล
(2)เศรษฐกิจนครฉงชิ่ง :
2.1)ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในนคร (GDP) :
GDP ครึ่งแรกปี 2568 ของฉงชิ่งอยู่ที่ 1,592.96 พันล้านหยวน (219.72 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขยายตัว ร้อยละ 5.0 สูงกว่าช่วงไตรมาสแรก สะท้อนการฟื้นตัวที่มั่นคง โดยภาคบริการครองสัดส่วนมากกว่า ร้อยละ 65
2.2)ภาคเกษตรกรรม :
มีมูลค่า 71.482 พันล้านหยวน (9,859.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขยายตัว ร้อยละ 5.6
2.3)ภาคอุตสาหกรรม :
ยังคงเป็นฐานหลักทางเศรษฐกิจ ขยายตัว 555.575 พันล้านหยวน (76,630 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือ ร้อยละ 5.6 นำโดยอุตสาหกรรมยานยนต์ (+8.4%) อุปกรณ์ยานยนต์ (+10.2%) วัสดุอุตสาหกรรม (+7.0%) และเทคโนโลยีขั้นสูง ผลิตภัณฑ์เด่น ได้แก่ วงจรรวม (+67.3%) หุ่นยนต์อุตสาหกรรม (+54.9%) และรถยนต์พลังงานใหม่ (+25.0%)
2.4)ภาคบริการและการบริโภค :
ภาคบริการขยายตัว ร้อยละ 5.6 รายได้ธุรกิจบริการขนาดใหญ่รวม 272.24 พันล้านหยวน (37.56 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 9.2 โดยบริการเช่า-ธุรกิจ เทคโนโลยีสารสนเทศ และวัฒนธรรม/กีฬา/บันเทิง เติบโตสูง การค้าปลีกสินค้าและบริการรวม 830.04 พันล้านหยวน (114.50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขยายตัว ร้อยละ 4.5 โดยสินค้าหลัก ได้แก่ โทรคมนาคม รถยนต์พลังงานใหม่ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
2.5)การลงทุน :
การลงทุนสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.2 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม (+12.7%) และอุปกรณ์เครื่องมือ (+31.8%) ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ยังหดตัวแต่ลดลงจากปีก่อน สะท้อนแนวโน้มการลงทุนที่มุ่งสู่เทคโนโลยี
2.6)การค้าต่างประเทศ :
มูลค่ารวม 365.18 พันล้านหยวน (50.37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขยายตัว ร้อยละ 7.6 โดยส่งออก 252.20 พันล้านหยวน (+7.0%) และนำเข้า 11.98 พันล้านหยวน (+9.1%) คู่ค้าหลัก ได้แก่ อาเซียน (+17.5%) ประเทศใน BRI และสมาชิก RCEP สินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ รถจักรยานยนต์ รถยนต์พลังงานใหม่ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก และสินค้าเกษตร
2.7)การค้ากับประเทศไทย :
มูลค่ารวม 159.88 พันล้านหยวน (22.05 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ขยายตัว ร้อยละ 50.1 โดยการส่งออกไปไทยเพิ่มขึ้น 65.8% และนำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้น 12.1% ทำให้ไทยกลายเป็นหนึ่งในคู่ค้าที่เติบโตเร็วที่สุดของฉงชิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเกษตรแปรรูป
ไทยยังคงเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของมณฑลเสฉวนและนครฉงชิ่ง โดยเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรมขั้นสูง เครื่องจักร อุปรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับพลังงานใหม่
ในขณะที่ฝั่งไทยยังมีช่องว่างในการขยายการส่งออกสินค้าเข้าสู่มณฑลเสฉวนและนครฉงชิ่ง โดยเฉพาะผลไม้สด อาหารทะเล และสินค้าเกษตรแปรรูปที่ผู้บริโภคชาวจีนมีความต้องการสูง
ดังนั้น แม้จะเป็นการยากที่ไทยจะกระตุ้นมูลค่าการส่งออกให้เทียบเท่ามูลค่าการนำเข้าจากมณฑลเสฉวน / นครฉงชิ่ง ไทยยังควรให้ความสำคัญกับการแสวงหาช่องทางด้านโลจิสติกส์ที่รวดเร็วและต้นทุนต่ำ ตลอดจนการโปรโมทสินค้าไทยให้เป็น “preferred choice” สำหรับผู้บริโภคจีน
ที่มา globthailand
วันที่ 8 กันยายน 2568