เจาะลึกเศรษฐกิจจีน ยูนนาน-กุ้ยโจว-หูหนาน เปิดเส้นทางใหม่ของธุรกิจไทย
หนึ่งในสินค้าส่งออกสำคัญของไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดต่างประเทศ คือ "ผลไม้ไทย" โดยเฉพาะตลาดจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ การขนส่งจึงถือเป็นหัวใจหลักของการเชื่อมโยงสินค้าไปถึงผู้บริโภค ปัจจุบันแม้ไทยและจีนจะไม่มีพรมแดนติดต่อกันโดยตรง แต่เส้นทางการค้าก็มีการพัฒนาต่อเนื่อง
ในระยะแรก ผลไม้ไทยถูกส่งออกไปจีนผ่านเส้นทางทะเล โดยจากท่าเรือแหลมฉบังสู่ท่าเรือกว่างโจวและเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูงและสามารถกระจายผลไม้ไปสู่มณฑลอื่นได้ นอกจากนี้ยังมีการขนส่งทางอากาศ แม้มีความรวดเร็วแต่ต้นทุนค่อนข้างสูง
ล่าสุด เมื่อเดือนสิงหาคม 2568 ไทยและจีนได้บรรลุข้อตกลงปรับปรุง “พิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการนำเข้า–ส่งออกผลไม้ผ่านประเทศที่สาม” ซึ่งเริ่มใช้ตั้งแต่ 1 กันยายน 2568 โดยเพิ่มช่องทางด่านนำเข้า–ส่งออกใหม่ ทั้งฝั่งไทย 3 ด่าน (ทุ่งช้าง–น่าน, บ้านฮวก–พะเยา, ภูดู่–อุตรดิตถ์) และฝั่งจีนอีก 2 ด่าน (เหมิ่งคัง–ผ่าน สปป.ลาว, ต่าลั่ว–ผ่านเมียนมา)
ข้อตกลงนี้ทำให้ มณฑลยูนนาน กลายเป็นพื้นที่ที่มีด่านนำเข้าผลไม้จากไทยมากที่สุดในจีน รวม 9 ด่าน ครอบคลุมทั้งการขนส่งทางอากาศ ทางบก ทางราง และทางน้ำ อาทิ ด่านท่าอากาศยานนานาชาติฉางสุ่ย คุนหมิง (ทางอากาศ) , ด่านเหอโข่ว และด่านเทียนเป่า (ทางบก ผ่านเวียดนาม), ด่านต่าลั่ว (ทางบก ผ่านเมียนมา), ด่านโม่ฮ่าน และหมิ่งคัง (ทางบก ผ่านลาว), ด่านกวนเหล่ย (ทางน้ำ เชื่อมแม่น้ำโขงกับท่าเรือเชียงแสน)
มณฑลยูนนาน ศูนย์กลางคมนาคมและท่องเที่ยวเติบโต
ยูนนานยังมีบทบาทด้านการคมนาคมและการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เดือนกรกฎาคม 2568 ซึ่งตรงกับช่วงปิดภาคฤดูร้อน สนามบินทั้ง 18 แห่งในมณฑลมีผู้โดยสารรวมกว่า 7.2 ล้านครั้ง โดยท่าอากาศยานนานาชาติฉางสุ่ย คุนหมิง ทำสถิติสูงสุดกว่า 4.72 ล้านครั้ง ตามด้วยท่าอากาศยานลี่เจียงและหมางซื่อ
ช่วง 7 เดือนแรกของปี 2568 ผู้โดยสารรวมในยูนนานมีถึง 44.19 ล้านครั้ง โดย 5 ท่าอากาศยานที่มีจำนวนผู้โดยสารมากที่สุดคือ คุนหมิง ลี่เจียง สิบสองปันนา หมางซื่อ และต้าหลี่ ขณะเดียวกัน ท่าอากาศยานคุนหมิงยังรองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศกว่า 306,000 ครั้ง เพิ่มขึ้น 27% จากปีก่อน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติจากมาเลเซีย ไทย และเกาหลีใต้ ซึ่งใช้สิทธิยกเว้นวีซ่าเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
มณฑลกุ้ยโจว ยกระดับ “ชื่อหลี่” ผลไม้ป่ามูลค่าสูง
ด้าน มณฑลกุ้ยโจว ได้เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมการแปรรูปผลไม้ โดยเฉพาะ “ชื่อหลี่” ที่ได้รับการขนานนามว่า “ราชาแห่งวิตามินซี” จากคุณสมบัติเพิ่มภูมิคุ้มกันและต้านอนุมูลอิสระ ปัจจุบันมีพื้นที่เพาะปลูกมากกว่า 633,000 ไร่ มูลค่าการผลิตแตะระดับ หมื่นล้านหยวน
อุตสาหกรรมชื่อหลี่ถูกพัฒนาตลอดห่วงโซ่
ตั้งแต่การเพาะปลูก วิจัย พัฒนาเมล็ดพันธุ์ แปรรูป สร้างแบรนด์ จนถึงการตลาด และได้รับคัดเลือกให้เป็นหนึ่งใน อุตสาหกรรมอาหารท้องถิ่นโดดเด่นระดับประเทศ เช่นเดียวกับสุราขาวและพริกที่มีชื่อเสียงของกุ้ยโจว
มณฑลหูหนาน เร่งสร้างอุตสาหกรรม Green Intelligent Computingหรือการประมวลผลอัจฉริยะที่ผสานการประหยัดพลังงานและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมนี้ครอบคลุม 3 กลุ่มหลัก
ได้แก่ การพัฒนาความปลอดภัยคอมพิวติ้งแบบอัตโนมัติ, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), เซมิคอนดักเตอร์รุ่นใหม่ ไปจนถึงเศรษฐกิจการบินระดับต่ำ รัฐบาลมณฑลตั้งเป้าให้อุตสาหกรรมดังกล่าวมีมูลค่าทะลุ ล้านล้านหยวนภายในปี 2568 และขยับสู่ สองล้านล้านหยวนภายในปี 2573 นับเป็นอุตสาหกรรมหลักถัดจากกลุ่มการผลิตอุปกรณ์ วัสดุ สินค้าอุปโภคบริโภค และการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ หูหนานยังประสบความสำเร็จในการส่งออกเครื่องจักรกลการเกษตร มูลค่า 420 ล้านหยวน โดยมีตลาดหลัก ได้แก่ เยอรมนี อินเดีย และอินโดนีเซีย เมืองฉางซาส่งออกสูงสุดกว่า 260 ล้านหยวน คิดเป็นกว่า 60% ของมูลค่าทั้งมณฑล
การเปิดด่านใหม่ระหว่างไทย–จีน ไม่เพียงช่วยผลักดันผลไม้ไทยสู่ตลาดจีนอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังสะท้อนถึงการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจของภูมิภาคที่กว้างขวางยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน มณฑลต่าง ๆ ของจีน เช่น ยูนนาน กุ้ยโจว และหูหนาน ก็กำลังยกระดับเศรษฐกิจในมิติต่าง ๆ ทั้งการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมเกษตร และเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งล้วนเป็นโอกาสทางการค้าที่ไทยสามารถติดตามและใช้ประโยชน์ได้ในอนาคต (ที่มา สถานกงศุลใหญ่ ณ นครคุนหมิง, เรียบเรียงโดย ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์)
ที่มา globthailand
วันที่ 15 กันยายน 2568