เบื้องหลังเวียดนามแซงไทย ครองแชมป์ปลายทางนักท่องเที่ยวจีน
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวประเทศเวียดนามเฟื่องฟู นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเกือบ 14 ล้านคน โดยเฉพาะชาวจีน จากปี 2025 จนถึงเดือนสิงหาคม จำนวนนักท่องเที่ยวเยือนเวียดนามโตขึ้น 44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แซงหน้าไทยซึ่งเคยเป็นปลายทางอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวจีนในภูมิภาคอาเซียน
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง หลังการท่องเที่ยวประเทศเวียดนามเติบโตอย่างก้าวกระโดด แซงหน้าประเทศไทยซึ่งเคยเป็นผู้นำการท่องเที่ยวของภูมิภาคอาเซียน
อ้างอิงข้อมูลจาก China Trading Desk บริษัทผู้ในบริการแพลตฟอร์มการตลาดด้านการท่องเที่ยวในจีน ซึ่งได้ติดตามการเดินทางและการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตของนักท่องเที่ยวจีน ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้ถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์ และหลั่งไหลเข้าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามแทน

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวจีนเปลี่ยนแปลงไปคือ กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนรุ่นใหม่ ‘นิยมเดินทางด้วยตนเอง’ เป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในรสนิยมของตลาดนักท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง ‘ชาวจีน’
ในปี 2025 จนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเยือนเวียดนามเกือบ 14 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2024 ในจำนวนนี้กลุ่มใหญ่ที่สุดเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน
บลูมเบิร์กอ้างอิงข้อมูลของรัฐบาลจีน ระบุตัวเลขนักท่องเที่ยวชาวจีนตั้งแต่ ม.ค.-มิ.ย. 2025 ดังนี้
ประเทศเวียดนาม : 2.7 ล้านคน
ประเทศไทย : 2.3 ล้านคน
ประเทศมาเลเซีย : 2.2 ล้านคน
จะเห็นได้ว่าประเทศเวียดนามก้าวขึ้นเป็นปลายทางอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวชาวจีน ส่วนประเทศไทยซึ่งเคยเป็นผู้นำตลาดการท่องเที่ยวอาเซียน ตกลงมาอยู่อันดับที่ 2 และมาเลเซียตามมาติด ๆ ในอันดับที่ 3 ซึ่งในครึ่งปีแรก มาเลเซียมีนักท่องเที่ยวจากจีนเพิ่มขึ้นถึง 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
กลยุทธ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนของเวียดนาม :
นายซุบรามาเนีย บัตต์ (Subramania Bhatt) ซีอีโอของ China Trading Desk กล่าวว่า ชาวจีนกว่า 40% เป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก พวกเขามีความเป็นตัวของตัวเอง มีการศึกษา และมองหาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แท้จริง พวกเขาไม่อยากถูกผลักขึ้นรถบัสทัวร์พาไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ โรงแรม และร้านค้า ที่ทุกอย่างให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในประเทศจีน และพวกเขายังเต็มใจที่จะจ่ายเพิ่มมากขึ้นด้วย
รัฐบาลเวียดนามและบริษัททัวร์เอกชนมุ่งเน้นดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ
เมืองกว๋างนิญ :
ซึ่งเป็นเมืองติดขอบชายแดนประเทศจีน บริเวณเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ได้ร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนท้องถิ่น จัดเทศกาลพาราไกลดิ้งและบอลลูนลมร้อน เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ใช้เวลาอยู่ในประเทศมากขึ้น
เมืองดานัง :
ริมชายฝั่งทะเลจีนใต้ ในปัจจุบันมีป้ายภาษาจีนขนาดใหญ่โดดเด่น ประดับประดาอยู่ทุกพื้นที่ ตั้งแต่โรงแรม ต่าง ๆ ไปถึงแผงขายอาหารริมทาง และร้านนวด นอกจากนี้ โรงแรมท้องถิ่นยังรับสมัครพนักงานที่พูดภาษาจีนกลางได้ และใช้แอปพลิเคชั่นแปลภาษาเพื่อสื่อสารกับลูกค้า
Hava Travel :
บริษัททัวร์ในเมืองดานังและนาตรัง ปรับกลยุทธ์จากทัวร์ชั้นประหยัด มาเป็นทัวร์บูติก (Boutique Tour : ทัวร์ขนาดเล็ก เน้นความพิเศษ มีเอกลักษณ์ และการออกแบบที่โดดเด่น เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่น่าประทับใจและไม่เหมือนใคร) ส่งผลให้ในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียว บริษัทให้บริการลูกค้ากว่า 2,000 ราย เพิ่มขึ้น 20% จากต้นปี
กาสิโน :
รีสอร์ตคราวน์พลาซ่า ดานัง (Crowne Plaza Danang Resort) เป็นสถานที่แห่งเดียวในเมืองดานังที่มีกาสิโน รีสอร์ตแห่งนี้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนตลาดบน หรือที่เรียกกว่า ‘บิ๊กบอส’ ซึ่งเดินทางมาทำงาน ตีกอล์ฟ และเล่นการพนัน กลุ่มคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เลือกรับประทานอาหารในห้องส่วนตัวหรูหรา ราคาอาหารหนึ่งมื้อสูงกว่า 400 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 12,600 บาท) หรือเทียบเท่าเงินเดือนทั้งเดือนของคนทั่วไป เหล่าบิ๊กบอสล้วนจ่ายอย่างไม่สะทกสะท้าน
ยอดค้าปลีก ของเวียดนามเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 51% ในปีนี้จนถึงเดือน ส.ค. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากได้แรงหนุนจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
จากข้อมูลของบริษัทวิเคราะห์ตลาด BMI คาดว่าในปี 2025 นี้ เวียดนามจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากถึง 22.6 ล้านคน ซึ่งจะทำลายสถิติสูงสุดเดิมที่ 18 ล้านคน ในปี 2019
การท่องเที่ยวไทยซบเซา หวาดกลัวค้ามนุษย์-ค่าครองชีพแพง
ขณะที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเวียดนามคึกคัก บรรยากาศในประเทศไทยซึ่งเคยเป็นผู้นำตลาดท่องเที่ยวอาเซียนกลับแตกต่างออกไป จากข้อมูลการวิเคราะห์ด้านการบินของ Cirium พบว่าตั้งแต่ ม.ค.-ส.ค. 2025 จำนวนที่นั่งบนเที่ยวบินขาเดียวจากจีนมาไทยลดลงกว่า 11% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เหลือเพียง 5.1 ล้านที่นั่ง
แม้นักท่องเที่ยวจีนจะยังคงเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักของไทย แต่จำนวนที่ลดลงทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมลดลง 7% ในช่วงเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ทั้งที่ตลาดอื่น ๆ เช่น สหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐอเมริกา เติบโตขึ้นมาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ว่ารายได้ของธุรกิจโรงแรมในไทยจะหดตัว 4.5% ในปี 2025 และอัตราการเข้าพักจะลดลง
ปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนลดลง :
กรณีนายหวัง ซิง (Wang Xing) นักแสดงชาวจีน ซึ่งถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงให้เดินทางมายังประเทศไทยและค้ามนุษย์ไปยังประเทศเมียนมา ก่อนจะได้รับการช่วยเหลือในเวลาต่อมา ยังคงเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนไม่กล้าเดินทางมาเที่ยวไทย
ประเทศไทยสูญเสียชื่อเสียงอย่างมาก จากราคาโรงแรม อาหาร และค่าโดยสารแท็กซี่ ที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังสถานการณ์โควิด-19 โดยชาวจีนต่างออกมาแสดงความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดียถึงราคาที่สูงขึ้น

นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทยกล่าวว่า “นักท่องเที่ยวชาวจีนที่ไม่เคยมาเมืองไทยยังคงรู้สึกหวาดกลัว รัฐบาลไทยยังทำได้ไม่ดีพอ ในการประชาสัมพันธ์การปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัย”
อย่างไรก็ดี นายเดเมียน เฟิร์ช (Damien Pfirsch) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการพาณิชย์ บริษัทอโกด้า (Agoda) มองเห็นความเป็นไปได้ที่จะพลิกฟื้นสถานการณ์นี้ โดยกล่าวว่า “กรุงเทพฯยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวกลับมาเยือนมากที่สุดในเอเชียบนแพลตฟอร์มของเรา เราต้องการให้นักท่องเที่ยวจีนกลับมาโดยเร็ว เพื่อช่วยให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง”
ประเทศไทยยังคงมีความหวังที่จะพลิกฟื้นสถานการณ์กลับมาในช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงพีกของการท่องเที่ยวไทย
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 16 กันยายน 2568