ไทยได้อะไรจากรถไฟเฉิงตู? โอกาสใหม่ของโลจิสติกส์และการส่งออก
ขบวนรถไฟขนส่งสินค้านานาชาติ Chengdu-Europe Express "Rong-Ou Fast" ได้เคลื่อนตัวออกจากท่าเรือรถไฟนานาชาติเฉิงตู (Chengdu International Railway Port) มุ่งหน้าไปตามทางผ่านเส้นทางรางผ่านรัสเซีย เบลารุส และโปแลนด์ ใช้เวลาทั้งหมด 10 วัน จากต้นทางถึงโรงงานในเมืองมาลา ประเทศโปแลนด์ ปัจจุบันนั้น ขบวนรถไฟสินค้านานาชาติมีเส้นทางหลัก 3 เส้นทาง ได้แก่
(1) นครเฉิงตู – เมืองลอดซ์ ประเทศโปแลนด์ (2) นครเฉิงตู – กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย (3) นครเฉิงตู – กรุงมินสค์ ประเทศเบลารุส โดยวางแผนเชื่อมต่ออีก 5 เมืองต่างประเทศ ได้แก่ เมืองดูซานเบ ทาจิกิสถาน, เมืองบาร์เซโลนา สเปน, เมืองแทนเจียร์ โมร็อกโก และอีกสองเมืองที่อยู่ระหว่างการรอยืนยัน ส่งผลให้จำนวนเมืองต่างประเทศที่เชื่อมต่อกับขบวนรถไฟสินค้านานาชาตินครเฉิงตูเพิ่มขึ้นเป็น 123 เมือง
ขบวนรถไฟฟ้านานาชาตินครเฉิงตูได้พิสูจน์ศักยภาพ ความเร็วและความคุ้มค่าอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นเส้นทางการค้าระหว่างประเทศที่ต้นทุนต่ำและบริการที่เป็นเลิศในภูมิภาคตอนในของจีน อีกทั้งได้สร้างเครือข่ายขนส่งระหว่างประเทศที่ “รวดเร็วและมั่นคง” ไปยัง ยุโรป มองโกเลีย รัสเซีย ญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศในอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการขนส่งด้วยวิธีนี้ทำให้เร็วกว่าวิธีปกติถึงร้อยละ 30 จะช่วยเพิ่มโอกาสสินค้าจากมณฑลเสฉวนถึงนครเฉิงตูออกสู่ตลาดโลก
อีกทั้งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัท Ronghe Lin’gang Investment และ Dahong Logistics ได้ร่วมก่อตั้ง “บริษัทบริหารจัดการซัพพลายเชนนครเฉิงตู Ronghe Dahong” เพื่อใช้ประโยชน์จากทำเลที่ตั้งของเขตชิงไป่เจียง เปิดเดินรถไฟสายนครเฉิงตู – กรุงมินสค์อย่างต่อเนื่อง พร้อมยกระดับบริการส่งสินค้าถึงจุดหมายปลายทาง
ในปี 2568 เขตเศรษฐกิจท่าเรือรถไฟสินค้านานาชาติได้มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตและการค้าติดท่าเรือ เดินหน้าดึงดูดโครงการลงทุน สร้างระบบรองรับอุตสาหกรรมทำให้เขตเศรษฐกิจฯ ได้ดึงดูดโครงการใหม่จำนวนมาก เช่น ฐานการผลิตจอโทรทัศน์ และการผลิตเครื่องใช้ครัวเรือน
ซึ่งผู้บริหารเขตเศรษฐกิจฯ กล่าวว่า “เราจะผลักดันแผนยุทธศาสตร์ในการยกระดับคุณภาพการค้าระหว่างประเทศผ่านขบวนรถไฟสินค้านานาชาตินครเฉิงตู มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมโลจิสติกส์สินค้านำเข้า เช่น สินค้าแช่เย็น ผลิตภัณฑ์เหมืองแร่ รถยนต์ และสินค้าอุปโภคบริโภค เพิ่มศูนย์กระจายสินค้านำเข้าประเภทเนื้อสัตว์ ธัญพืช ผลไม้สด และแร่ต่างๆ รวมทั้งส่งเสริมการผสานรวมระหว่างโครงสร้างโลจิสติกส์กับห่วงโซ่อุปทาน พร้อมออกมาตรการจูงใจให้บริษัทข้ามชาติใช้บริการรถไฟนานาชาตินครเฉิงตู สร้างซัพพลายเชนใหม่ และวางแผนการผลิตทั้งในและต่างประเทศ”
โอกาสของไทยจากการพัฒนาเครือข่ายรถไฟสินค้านานาชาตินครเฉิงตู โดยเฉพาะเส้นทาง Chengdu-Europe Express “Rong-Ou Fast” และการเชื่อมต่อผ่านรถไฟสายนครเฉิงตู – ลาว – ไทย เปิดโอกาสเชิงยุทธสาสตร์ให้ประเทศไทยใช้ประโยชน์ในหลายด้าน
โดยเฉพาะด้านการค้า การคมนาคมโลจิสติกส์ และการลงทุนในอุตสาหกรรมข้ามพรมแดน สำหรับภาคการค้าและการส่งออก สินค้าเกษตรคุณภาพสูงของไทยอย่างทุเรียน มังคุด และมะม่วง มีโอกาสเข้าถึงตลาดจีนฝั่งตะวันตกได้รวดเร็วยิ่งขึ้นในสภาพสดใหม่
พร้อมลดต้นทุนการขนส่งจากหลายสิบวันเหลือเพียง 2-3 วัน ทำให้ต่อยอดการส่งออกไปยังยุโรปได้อย่างมีประสิทธภาพ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมหลักของไทย เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ พร้อมใช้เส้นทางนี้เข้าสู่ตลาดยุโรปได้เร็วกว่าทางเรือเช่นกัน
ในด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ไทย มีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางขนส่งของอาเซียน โดยเฉพาะหากเร่งพัฒนาโครงข่ายรถไฟเชื่อมต่อกับจีนผ่านโครงการรถไฟไทย – จีน (กรุงเทพฯ – หนองคาย) และปรับปรุงชายแดนให้เป็นศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าที่ทันสมัย พร้อมกับการผสานเส้นทางรางเข้ากับโครงการแลนด์บริดจ์เชื่อมทะเลอันดามัน – อ่าวไทย จะช่วยให้ไทยกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์และเติบโตมากยิ่งขึ้น
ในด้านการลงทุน ไทยสามารถร่วมมือกับจีนในการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้า และนิคมอุตสาหกรรมเฉพาะทาง เช่น เขตแปรรูปสินค้าการเกษตร หรือเขตอุตสาหกรรมไทย – จีนตามแนวรถไฟ เพื่อดึงดูดให้ผู้ผลิตจากจีนมาลวงทุนตั้งฐานการผลิตในไทย พร้อมสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยร่วมลงทุนในเขตเศรษฐกิจนครเฉิงตู
ทั้งนี้ การวางกลยุทธ์เชิงรุกทั้งในและนอกประเทศจะช่วยให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและอุตสาหกรรมโดยใช้ประโยชน์จากเส้นทางโลจิสติกส์ระดับภูมิภาคที่เชื่อมจีน อาเซียนและยูโรปได้อย่างแท้จริง (ข้อมูล: สถานกงสุลใหญ่ ณ นครเฉิงตู, เรียบเรียงโดย: ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์)
ที่มา globthailand
วันที่ 16 กันยายน 2568