Update! เศรษฐกิจมาเลเซียช่วงครึ่งแรก ปี 2568
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ธนาคารกลางมาเลเซียได้รายงานว่า อัตรา GDP ไตรมาส 2/2568 เติบโตร้อยละ 4.4 (YoY) เท่ากับไตรมาส 1/2568 ด้วยปัจจัยสนับสนุนหลักจาก
(1) การขยายตัวของการใช้จ่ายภาคครัวเรือนร้อยละ 5.3 (YoY)
(2) การเพิ่มขึ้นที่แข็งแกร่งของกิจกรรมการลงทุน โดยเฉพาะในสาขา ICT อสังหาริมทรัพย์ เคมีและเคมีภัณฑ์ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E&E) และ
(3) อุปสงค์ภายในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องสําหรับสินค้า E&E และการท่องเที่ยว
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอตัวลงที่ร้อยละ 1.3 (YoY) ลดลงจากไตรมาส 1/2568 ที่ร้อยละ 1.5 ซึ่งเป็นผลจาก
(1) การลดลงของราคาน้ํามันเชื้อเพลิงเบนซิน RON97 และน้ํามันดีเซล และ
(2) การลดลงของอัตราเงินเฟ้อหมวดอาหาร เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์เป็นสําคัญ อัตราการว่างงานลดลงมาที่ร้อยละ 3.0 จากร้อยละ 3.1 ของไตรมาส 1/2568
การเงิน/การคลัง ธนาคารกลางมาเลเซียประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 2.75 (จากร้อยละ
3) เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ธนาคารกลางมาเลเซียตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับร้อยละ 3 ต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 โดยการตัดสินใจดังกล่าวเป็นมาตรการเชิงป้องกันทางนโยบายการเงิน เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ภายหลังที่คาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจมาเลเซียในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จะชะลอตัวจากผลกระทบของมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกาต่อมาเลเซีย และการชะลอตัวของการเติบโตในอุตสาหกรรมสําคัญ อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ ในส่วนนโยบายการคลัง รัฐบาลมาเลเซียมีนโยบายลดการขาดดุลการคลังให้เหลือร้อยละ 3.8 ในปี 2568 (ปี 2567 อยู่ที่ร้อยละ 4.1) โดยเน้นการเพิ่มรายได้ และลดรายจ่ายของภาครัฐ
สกุลเงินริงกิตมาเลเซียแข็งค่าขึ้นร้อยละ 5.1 เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นจากของไตรมาส 1/2568 ที่ร้อยละ 0.8 ซึ่งเป็นผลจาก (1) การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐในตลาดเงินตราต่างประเทศในวงกว้าง และ (2) ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติต่อสินทรัพย์ในประเทศ และต่อเสถียรภาพและศักยภาพของเศรษฐกิจมาเลเซีย
แนวโน้มเศรษฐกิจมาเลเซียในห้วงครึ่งหลังของปี 2568 และในปี 2569 :
ธนาคารกลางมาเลเซียปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจมาเลเซียในปี 2568 เหลือร้อยละ 4.0 – 4.8 (จากเดิมร้อยละ 4.5 – 5.5) เป็นผลจากปัจจัยเสี่ยงด้านความท้าทายจากสภาพแวดล้อมภายนอก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีนําเข้าของประเทศคู่ค้า รวมถึงการประกาศอัตราภาษีตอบโต้ของสหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกัน GDP ในไตรมาส 2/2568 ที่คาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 4.5 ลดลงเป็นร้อยละ 4.4 ซึ่งถือเป็นระดับปานกลาง

แม้คาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจมาเลเซียในปี 2568 จะชะลอตัวเมื่อเทียบกับการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2567 ที่ร้อยละ 5.1 อย่างไรก็ดี มาเลเซียยังคงรักษาพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง (solid footing) โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากอุปสงค์ภายในประเทศที่มีความแข็งแกร่งและฟื้นตัวได้ดี อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องสําหรับสินค้า E&E และโครงสร้างการส่งออกที่มีความหลากหลายทั้งในเชิงสินค้าและตลาดส่งออก
โดยในปี 2568 รัฐบาลมาเลเซียให้ความสําคัญกับกลุ่มประเทศ BRICS ประเทศที่มีความตกลง FTA กับมาเลเซีย และประเทศตลาดเกิดใหม่ อาทิ ประเทศในภูมิภาคแอฟริกาตะวันออกกลาง และละตินอเมริกา รวมถึงผลจากการปฏิรูปเชิงโครงสร้างในด้านต่าง ๆ ของมาเลเซีย อาทิ การปฏิรูประบบการคลังและภาษี การสร้างแรงจูงใจแก่การลงทุนในสาขาอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและสีเขียว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และปรับค่าแรงและเงินเดือน
ปัจจุบัน กระทรวงการคลังมาเลเซียคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจมาเลเซียในปี 2569 จะเติบโตในอัตราปานกลาง โดยขณะนี้ ยังไม่ได้ประกาศตัวเลขประมาณการที่ชัดเจน โดยเผชิญปัจจัยเสี่ยงสําคัญจาก
(1) ความไม่แน่นอนของการค้าโลก และ
(2) อุปสงค์ต่างประเทศที่อ่อนตัว อย่างไรก็ดี จะมีปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสําคัญจาก (1) อุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในภาคการลงทุนของภาคเอกชน (2) ตลาดแรงงานที่มั่นคง (3) มาตรการส่งเสริมการบริโภคของประชาชนของรัฐบาลมาเลเซีย อาทิ การเพิ่มเงินอุดหนุนให้แก่ประชาชนผ่านโครงการ Sumbangan Tanai Rahmah (STR) และ Sumbangan Asas Rahmah (SARA) รวมถึงการขึ้นเงินเดือนและการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ํา (ข้อมูล: สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์, เรียบเรียงโดย: ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์)
ที่มา globthailand
วันที่ 23 กันยายน 2568