ส.อ.ท. เสนอ 4 มาตรการ แก้วิกฤติภาษีทรัมป์ กระทบฉุดอุตฯ พลาสติก–ปิโตรเคมี
กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี–พลาสติกไทย เผยผบลกระทบภาษีทรัมป์ ส่งผลส่งออกไทยสูญเสียตลาด- เสนอ 4 มาตรการ ให้รัฐบาลใหม่ หนุน "เศรษฐกิจหมุนเวียน" รักษาฐานการผลิตของภูมิภาค
จากเวที Econmass Talk Ep.1 #2025 ในหัวข้อ “อุตสาหกรรมพลาสติกไทย – ปิโตรเคมี ได้หรือเสีย…จากภาษีทรัมป์” ซึ่งจัดโดย สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ และ กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก และกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
โดยมี นายฐิติธัม พงศ์พนางาม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติกฯ นางภรณี กองอมรภิญโญ รองประธาน กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติกฯ นายเดชาธร ฐิสิฐสกร คณะทำงานสายงานเศรษฐกิจและการค้า กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีฯ และนายวีระ ขวัญเลิศจิตต์ ผู้อำนวยการสำนักงานสมาคม PPP Plastics ร่วมเวทีเสวนาได้มีการสะท้อนถึงปัญหา และความท้าทายของผู้ประกอบการไทยจากมาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้าแบบต่างตอบแทนของสหรัฐ ที่สูงถึง 19% พร้อมทั้งร่วมกันแนวทางในการเสริมศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในตลาดโลก
นายฐิติธัม พงศ์พนางาม ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติกฯ เปิดเผยว่า มาตรการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐ ส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยเสียเปรียบด้านราคา สูญเสียส่วนแบ่งตลาด และต้นทุนการผลิตสูงขึ้น จากภีที่สูงขึ้น ภาษีทรัมป์ที่สูงถึง 19% นั้นกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทย ทั้งในแง่ยอดขายที่ลดลง กำไรหดตัว และความสามารถในการแข่งขันที่ด้อยกว่าประเทศคู่แข่งอย่างเม็กซิโก เวียดนาม และจีน
โดยผู้ประกอบการไทยจึงต้องเร่งปรับตัว ทั้งการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุนการผลิต การกระจายตลาดไปยังภูมิภาคอื่น การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ด้วยการใช้วัตถุดิบรีไซเคิล เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระยะยาว โดยเฉพาะ อุตสาหกรรมพลาสติกไทยกำลังเผชิญทั้งความท้าทายและโอกาสจากภาษีสหรัฐ
ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวเชิงรุก ซึ่งการสนับสนุนเชิงนโยบายจากรัฐจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมทั้งผลักดันให้ “อุตสาหกรรมรีไซเคิล” กลายเป็น New S-Curve ของเศรษฐกิจไทยในอนาคต
กลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก เตรียมเสนอภาครัฐเร่งออกมาตรการที่รองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ ได้แก่ การเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐ ให้ชัดเจน และกับประเทศคู่ค้าใหม่เพื่อลดอุปสรรคภาษี และสร้างตลาดส่งออกเพิ่มเติม การสนับสนุนการลงทุนด้านเทคโนโลยีรีไซเคิลที่ได้มาตรฐาน และการสร้างระบบนิเวศเศรษฐกิจหมุนเวียนเต็มรูปแบบ
รวมถึงพิจารณาออกกฎหมายภาคบังคับเพื่อผลักดันการใช้พลาสติกรีไซเคิลที่ผลิตได้จากทรัพยากรหมุนเวียน ควบคู่กับการใช้มาตรการป้องกันการทุ่มตลาด และคุ้มครองผู้ผลิตภายในประเทศ
ทั้งนี้การดำเนินการตามข้อเสนอเหล่านี้จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ภาคอุตสาหกรรมไทย เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ และสร้างความยั่งยืนให้ Supply Chain ตลอดจนเสริมความมั่นคงให้เศรษฐกิจประเทศ
ขณะที่นางภรณี กองอมรภิญโญ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก ส.อ.ท. กล่าวว่า อีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญของอุตสาหกรรมพลาสติกไทยคือ แรงกดดันจากมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ทั้งจากความตกลงระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี และความต้องการภายในประเทศ เช่น เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในสินค้า และองค์กร ซึ่งทำให้ผู้ผลิตจำเป็นต้องเร่งปรับปรุงกระบวนการผลิต และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์
โดยอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และอุตสาหกรรมพลาสติก กำลังผลักดันการผลิต และใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานในผลิตภัณฑ์พลาสติกต่างๆ เพื่อให้การใช้งานพลาสติกเข้าสู่วงจรเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างแท้จริง หากทำได้สำเร็จ จะเป็น New S-Curve ของอุตสาหกรรมไทยในอนาคต
สำหรับความท้าทายจากภาษีสหรัฐ ทั้ง 2 กลุ่มอุตสาหกรรมเห็นตรงกันว่า ผู้ประกอบการไทย เสียเปรียบด้านราคา มีแนวโน้มสูญเสียตลาด ภาคเอกชนไทยต้องเร่งปรับตัว ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน พัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีจุดเด่น (Product Differentiation) เน้นคุณภาพ และบริการที่เหนือกว่า เพิ่มนวัตกรรมด้านความยั่งยืนเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ (Brand Image) ที่ดีในตลาดโลก รวมถึงการมองหาพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น การร่วมทุนหรือการร่วมมือทางเทคโนโลยี
โดย 2 กลุ่มอุตสาหกรรมได้ยื่นข้อเสนอให้ภาครัฐพิจารณาสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านมาตรการสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่
1)ส่งเสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศ (Local Content) เพื่อสร้างความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
2)ปรับปรุงกฎเกณฑ์ด้านภาษี ช่วยลดต้นทุนการแข่งขันในตลาดโลก
3)ปกป้องตลาดจากการทุ่มตลาดเพื่อรักษาความเป็นธรรมในการแข่งขัน
4)สร้างเครื่องจักรทางเศรษฐกิจใหม่ด้วยเศรษฐกิจหมุนเวียนของพลาสติกครบวงจร
และแม้ว่าไทยต้องเผชิญแรงกดดันจากมาตรการภาษีของสหรัฐ และการแข่งขันที่เข้มข้น แต่ยังคงเป็นฐานการผลิตปิโตรเคมีที่สำคัญของภูมิภาค ด้วยความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน การเชื่อมโยงโลจิสติกส์ ต้นทุนการผลิตที่เหมาะสม และคุณภาพสินค้าที่เชื่อถือได้ ทำให้ไทยยังมีศักยภาพในการแข่งขัน และดึงดูดความเชื่อมั่นจากตลาดโลก
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 24 กันยายน 2568