เอกชนหวังเห็นต่างชาติเที่ยวไทยทะลุ 70 ล้านคน เบ่งรายได้เข้าประเทศ 25% ต่อจีดีพี
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ภาคการท่องเที่ยวไทยมีการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น โดยขีดความสามารถในการแข่งขันเป็นตัวชี้วัด เพราะประเทศไทยพึ่งพารายได้จากต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วน 60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) มาจากการส่งออก และอีก 10% กว่ามาจากการท่องเที่ยว ทำให้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักๆ มี 2 ตัวรวมกัน 70% กว่าแล้ว โดยความกังวลตอนนี้เป็นเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากขึ้น ซึ่งการหารายได้ของไทย 70% เป็นส่งออกและท่องเที่ยว ค่าเงินบาทจึงเป็นต้นทุนหลักที่สำคัญ ซึ่งหากเทียบต้นปี 2568 ถึงปัจจุบันแข็งค่าขึ้น 7% แต่หากช่วง 17 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 17% แล้ว ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนของทั้งการท่องเที่ยวและการส่งออกไทย
นายเกรียงไกร กล่าวว่า เมื่อปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้ามาเที่ยวไทยจำนวน 39.9 ล้านล้านคน สร้างเม็ดเงิน 2 ล้านล้านบาท รวมตลาดไทยเที่ยวไทยด้วยอยู่ที่ 3 ล้านล้านบาท คิดเป็น 18% ของจีดีพี ทำให้คาดหวังว่า หากระยะถัดไป สามารถดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเพิ่มขึ้นที่ 70 ล้านคน เหมือนในหลายประเทศที่ทำได้ อาทิ ฝรั่งเศส สหรัฐ อิตาลี เพิ่มสัดส่วนรายได้ต่อจีดีพี เป็น 20-25% จะช่วยให้เกิดเงินสะพัด การจ้างงาน หมุนเวียนเม็ดเงินในประเทศได้อย่างแข็งแกร่งมากขึ้น
“ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) 3 เดือนสุดท้ายของปี 2568 นี้ มีความสำคัญมาก เพราะเป็นช่วงที่จะมีต่างชาติเข้ามาเที่ยวไทยมากสุด แต่ตอนนี้ไทยเสียเปรียบด้านการท่องเที่ยวกับประเทศคู่แข่งหลักอย่างญี่ปุ่น เพราะค่าเงินเยนอ่อน แต่เงินบาทแข็ง รวมถึงญี่ปุ่นมีภาพลักษณ์ที่มีความสะอาดและปลอดภัย รัฐบาลญี่ปุ่นจัดกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไปมากขึ้น
ทำให้เห็นนักท่องเที่ยวจีนไปญี่ปุ่นสูงมากขึ้น เพราะพอเงินเยนอ่อน ก็มีการคำนวณค่าใช้จ่ายว่ามีความคุ้มค่า ซึ่งนักท่องเที่ยวก็ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและต้นทุนในจ่ายเหมือนกัน ขณะที่เวียดนามก็มีนักท่องเที่ยวจีนเข้าไปเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ สวนทางกับไทยที่มีผลกระทบจากเรื่องความเชื่อมั่นความปลอดภัย และภาพข่าวเชิงลบต่างๆ ทำให้นักท่องเที่ยวจีนชะลอตัวลง” นายเกรียงไกร กล่าว
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 25 กันยายน 2568