โลกก้าวข้าม 40% ของการผลิตไฟฟ้าสะอาด โดยยุโรปเป็นผู้นำด้านพลังงานแสงอาทิตย์
รายงานการวิเคราะห์ฉบับใหม่จากสถาบันวิจัยพลังงานสะอาด Ember ชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญของโลก ในด้านการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยในปี 2567 โลกสามารถผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำได้มากกว่าร้อยละ 40 ของการผลิตทั้งหมด ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2483 (ค.ศ. 1940) ซึ่งในขณะนั้น ระบบไฟฟ้าของโลกมีขนาดเล็กกว่าปัจจุบันถึง 50 เท่า และพึ่งพาพลังงานน้ำเป็นหลัก ปัจจุบัน พลังงานแสงอาทิตย์ได้กลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ในการแข่งขันเพื่อสร้างระบบไฟฟ้าที่สะอาดอย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เช่นกัน โดยมีปัจจัยหนุนจากคลื่นความร้อน เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และศูนย์ข้อมูล (Data Center) ส่งผลให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคการผลิตไฟฟ้าแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 14.6 พันล้านตันในปีที่แล้ว โดยมีสาเหตุหลักมาจากความต้องการใช้เทคโนโลยีทำความเย็นในช่วงคลื่นความร้อน เนื่องจากปี 2567 เป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์สถานการณ์ดังกล่าว ตอกย้ำถึงความเร่งด่วนของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน แต่รายงานฉบับนี้ยังคงมองโลกในแง่ดีว่า การเติบโตของพลังงานสะอาดนั้นรวดเร็วพอที่จะรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้
สหภาพยุโรป: ผู้นำระดับโลกและ “มหาอำนาจด้านพลังงานแสงอาทิตย์”
สหภาพยุโรป (EU) มีความโดดเด่นอย่างยิ่งในการเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาด โดยนำหน้าค่าเฉลี่ยของโลกไปไกลมาก ดร. เบียทริซ เปโตรวิช นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Ember กล่าวว่า “ยุโรปได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำระดับโลกในด้านพลังงานสะอาด”
* สัดส่วนพลังงานสะอาดสูง: ในปี 2567 สหภาพยุโรปผลิตไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาด (ซึ่งรวมถึงนิวเคลียร์) ได้ถึงร้อยละ 71 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ภาคการผลิตไฟฟ้ายังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลถึงร้อยละ 59 ในขณะที่ EU พึ่งพาเพียงร้อยละ 29 โดยเกือบครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 47) ของการผลิตไฟฟ้าในปีที่แล้วมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานน้ำรวมกัน
* การเติบโตของพลังงานแสงอาทิตย์: พลังงานแสงอาทิตย์ใน EU เติบโตขึ้นเกือบ 2 เท่าในช่วง 3 ปีจนถึงปี 2567 ส่งผลให้มีสัดส่วนถึงร้อยละ 11 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด และสามารถแซงหน้าการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินได้เป็นครั้งแรก
* ผู้นำในระดับประเทศ: ความสำเร็จนี้ไม่ได้กระจุกตัวอยู่เพียงประเทศเดียว แต่กระจายไปทั่วทั้งทวีป
* ฮังการี มีสัดส่วนพลังงานแสงอาทิตย์ในระบบไฟฟ้าสูงที่สุดในโลกถึงร้อยละ 25 ซึ่งเป็นผลมาจากโครงการจูงใจสำหรับโซลาร์ภาคประชาชนที่เคยมีในอดีต
* สเปน มีการเพิ่มขึ้นของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากที่สุดในยุโรปเมื่อปีที่แล้ว
* เยอรมนี อยู่ในอันดับที่ 6 ของโลกในแง่ของปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โดยผลิตได้ 71 เทราวัตต์-ชั่วโมง (TWh)
* มีประเทศสมาชิก EU ถึง 7 ประเทศที่ติดอยู่ใน 15 อันดับแรกของโลกที่มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์สูงสุด
แม้ว่าในภาพรวมระดับโลก จีนจะเป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก โดยในปี 2567 มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์มากกว่าครึ่งหนึ่งของทั่วโลก (ร้อยละ 53) แต่ ดร. เปโตรวิช เน้นย้ำว่า “เรื่องราวของพลังงานแสงอาทิตย์ในยุโรปไม่ได้มาจากประเทศใดประเทศหนึ่ง” การเติบโตที่แพร่หลายนี้สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการขยายขนาดของเทคโนโลยีนี้
ก้าวต่อไป: การบูรณาการพลังงานหมุนเวียนและสร้างโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ
ความท้าทายต่อไปสำหรับยุโรป คือ การแสดงให้โลกเห็นถึงวิธีการยกระดับพลังงานสะอาดไปอีกขั้น ซึ่งหมายถึงการเพิ่มสัดส่วนพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในระบบให้มากยิ่งขึ้น พร้อมกับสร้างความยืดหยุ่น เพื่อใช้ประโยชน์จากพลังงานเหล่านั้นให้ได้สูงสุด แนวทางแก้ไขประกอบด้วย
* เทคโนโลยีแบตเตอรี่: สำหรับการกักเก็บพลังงาน
* การใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ: ในภาคการขนส่ง อาคาร และอุตสาหกรรม
* การยกระดับโครงข่ายไฟฟ้า: เพื่อส่งผ่านไฟฟ้าไปตามภูมิภาคต่าง ๆ ดร. เปโตรวิช กล่าวว่า “เรามีโครงข่ายไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตอนนี้เราต้องทำให้มันฉลาดขึ้น”
* แรงจูงใจฝั่งผู้บริโภค: การสร้างแรงจูงใจด้านราคา เพื่อให้ผู้คนเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าไปยังช่วงเวลาที่มีพลังงานหมุนเวียนเหลือเฟือ เช่น การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในตอนกลางวันแทนที่จะเป็นตอนกลางคืน
รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้รับการนำเสนอให้เป็นต้นแบบสำหรับแนวทางเหล่านี้ ในปีที่แล้ว รัฐแคลิฟอร์เนียสามารถใช้การผสมผสานระหว่างพลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ เพื่อตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในช่วงเย็นได้ถึง 1 ใน 5 ซึ่งตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากเพียงร้อยละ 2 โดยเมื่อ 3 ปีก่อน ดร. เปโตรวิช ชี้ว่า “บางทีแคลิฟอร์เนียอาจกำลังแสดงภาพตัวอย่างของสิ่งที่เราจะได้เห็นในยุโรปในอีก 3 ปีข้างหน้า”
พลังงานสะอาด: คำตอบสำหรับความท้าทายแห่งอนาคต
แม้จะมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคต โดยเฉพาะความต้องการในการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI รถไฟฟ้า และศูนย์ข้อมูล รวมถึงความต้องการในการใช้เครื่องปรับอากาศจากคลื่นความร้อนที่รุนแรงขึ้น แต่ Ember คาดการณ์ว่า การเติบโตของพลังงานสะอาดนั้นรวดเร็วเพียงพอที่จะรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ได้ ดร. เปโตรวิช ยืนยันว่า “ทุกประเทศอยู่ในจุดที่สามารถตอบสนองความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นด้วยไฟฟ้าสะอาดได้”
นอกเหนือจากประเด็นทางเทคโนโลยีแล้ว ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นตัวเร่งที่สำคัญอีกด้วย การรุกรานยูเครนของรัสเซียในปี 2565 ส่งผลให้ยุโรปได้เรียนรู้ “บทเรียนราคาแพง” เกี่ยวกับความมั่นคงทางพลังงานและได้เร่งพัฒนาพลังงานหมุนเวียนนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา “ตอนนี้สถานการณ์กับรัสเซียตึงเครียดมากขึ้น ความกังวลด้านความมั่นคงจึงเป็นรูปธรรมกว่าที่เคย และพลังงานหมุนเวียนถูกมองว่าเป็นยุทธศาสตร์ในการป้องกันประเทศ” ดร. เปโตรวิช กล่าว
สำหรับอนาคตอันใกล้ ประเทศในแถบยุโรปกลางและตะวันออก เป็นภูมิภาคที่น่าจับตามองในแง่ของพลังงานแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ นอกจากนี้ คาดว่าพลังงานลม (ซึ่งผลิตไฟฟ้าให้ EU ร้อยละ 18) จะเร่งตัวขึ้นในปีนี้ เนื่องจากการอนุญาตที่รวดเร็วขึ้นและสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย
ที่มา globthailand
วันที่ 30 กันยายน 2568