พลิกเกม "ทองคำสีเขียว" จีนเปิดตัวอะโวคาโดพันธุ์ "จื่อจิน" และ "เถิงหลง" ผลผลิตสูงกว่าเดิม 5 เท่า
อะโวคาโด (Avocado) ถือเป็น superfood ที่ได้รับฉายาว่าเป็น "ทองคำสีเขียว" ซึ่งมีแหล่งผลิตหลักในอเมริกากลาง อเมริกาใต้ และแอฟริกา เนื้ออะโวคาโด 100 กรัมประกอบด้วยไขมันไม่อิ่มตัวถึง 12.2 กรัม ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้ ยังอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร 6.7 กรัม ซึ่งช่วยกระตุ้นการขับถ่ายและทำให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น อีกทั้งยังมีน้ำตาลต่ำ พร้อมด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ เช่น วิตามินเอ โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส
จีนเริ่มทดลองปลูกอะโวคาโดตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1950 – 1960 อย่างไรก็ดี การเพาะปลูกต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากอะโวคาโดเป็นพืชเขตร้อนที่ต้องการแสงแดดจัด ดินชุ่มชื้นแต่ระบายน้ำได้ดี และไวต่อทั้งอากาศร้อนจัดและหนาวเย็น ทำให้พื้นที่เพาะปลูกหลักของจีนกระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่แห่ง เช่น มณฑลยูนนาน เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง และมณฑลไห่หนาน โดยเฉพาะที่อำเภอปกครองตนเองชนชาติไต ชนชาติลาหู่ ชนชาติหว่า เมิ่งเหลียน ในมณฑลยูนนาน ซึ่งมีสภาพอากาศใกล้เคียงกับอเมริกากลาง ถือเป็นแหล่งปลูกอะโวคาโดที่ใหญ่ที่สุดในจีน และคิดเป็นสัดส่วนผลผลิตสูงถึงร้อยละ 80 ของทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลในปี 2567 พบว่า อำเภอดังกล่าวให้ผลผลิตเพียง 19,500 ตัน ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศของจีน
อุปสรรคสำคัญของการปลูกอะโวคาโดในจีน คือ การขาดความหลากหลายของสายพันธุ์ โดยเกษตรกรส่วนใหญ่นิยมปลูกพันธุ์แฮส (Hass) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากสหรัฐอเมริกา แม้จะเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยม แต่กลับให้ผลผลิตและคุณภาพที่ไม่เสถียร อีกทั้งยังต้องใช้ระยะเวลานานถึง 3 – 4 ปีในการรอเก็บเกี่ยวผลผลิต อย่างไรก็ตาม จีนได้เร่งพัฒนาสายพันธุ์อะโวคาโดให้เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศของตนเอง โดยมีหน่วยงานวิจัยหลายแห่ง เช่น สถาบันเกษตรศาสตร์กึ่งเขตร้อนกว่างซี ซึ่งได้วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดความเสี่ยงจากปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ คือ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2568 สำนักป่าไม้และทุ่งหญ้าแห่งชาติจีนได้ขึ้นทะเบียนคุ้มครองอะโวคาโด 2 สายพันธุ์ใหม่ ได้แก่ จื่อจิน (Zijin) และเถิงหลง (Tenglong) ซึ่งวิจัยโดยสถาบันเกษตรศาสตร์กึ่งเขตร้อนกว่างซี โดยสถาบันฯ เปิดเผยว่า อะโวคาโดทั้ง 2 สายพันธุ์ให้ผลผลิตสูงมากถึง 60 – 75 กิโลกรัมต่อต้น ซึ่งมากกว่าพันธุ์แฮสที่ปลูกในกว่างซีถึง 4 – 5 เท่า (15 กิโลกรัมต่อต้น) สามารถให้ผลผลิตนอกฤดูกาลหลักได้ อีกทั้งยังให้ผลที่มีขนาดใหญ่ (น้ำหนัก 500 – 750 กรัม)
เมื่อเทียบกับพันธุ์แฮสที่นำเข้าจากต่างประเทศ (น้ำหนักราว 100 กรัม) รวมถึงมีเนื้อมาก เมล็ดเล็กกว่า และผิวเปลือกสีสด ความสำเร็จในการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่นี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิตอะโวคาโดในจีนได้อย่างยั่งยืน และลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศในระยะยาว (ข้อมูล: สถานกงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง, เรียบเรียงโดย : ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์)
ที่มา globthailand
วันที่ 1 ตุลาคม 2568