เจรจา FTA ไทย-EU รอบที่ 7 คืบหน้าด้านเปิดตลาดสินค้า-การลงทุน-จัดซื้อจัดจ้าง
KEY POINTS :
* การเจรจา FTA ไทย-EU รอบที่ 7 ณ กรุงบรัสเซลส์ มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการเคลื่อนย้ายเงินทุนและกฎระเบียบสำหรับบริการทางการเงิน
* มีความก้าวหน้าที่ดีในการเจรจาเปิดตลาดการค้าระหว่างกันในหลายด้าน ทั้งการค้าสินค้า บริการ การลงทุน และการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ
* ประเด็นสำคัญที่ยังต้องหาข้อสรุปร่วมกันในรอบต่อไป ได้แก่ ระดับการเปิดตลาดสินค้าและบริการ การลงทุน การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงการเจรจา FTA ไทย-EU รอบที่ 7 ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 กันยายน-3 ตุลาคม 2568 ณ กรุงบรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม ว่า โดยในภาพรวมการเจรจาครั้งนี้ มีความคืบหน้าที่ดีอย่างต่อเนื่อง สามารถสรุปเพิ่มเติมได้ในเรื่องการเคลื่อนย้ายเงินทุน ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนข้ามพรมแดน และการจัดทำกฎระเบียบสำหรับบริการสาขาการเงิน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความโปร่งใสและเสถียรภาพในภาคการเงิน
สำหรับการเจรจาเปิดตลาดการค้าระหว่างกันมีความคืบหน้าเป็นลำดับ ทั้งการเจรจาเปิดตลาดการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน และการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายประเด็นที่ใกล้ได้ข้อสรุปเช่นเดียวกัน โดยเหลือรายละเอียดในเชิงเทคนิค อาทิ มาตรการเยียวยาทางการค้า รัฐวิสาหกิจ ภาคผนวกสาขายานยนต์ และการแข่งขันทางการค้า
นางสาวโชติมา กล่าวว่า สำหรับแผนการทำงานต่อไป การเจรจาได้ดำเนินมาถึงจุดที่ทั้งสองฝ่ายต้องหาทางออกร่วมกันในประเด็นสำคัญต่างๆ อาทิ ระดับการเปิดตลาดสินค้า บริการ และการลงทุน การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ มาตรฐานสินค้าเกษตร การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าดิจิทัล เพื่อให้สามารถสรุปผลการเจรจาได้ โดยทั้งสองฝ่ายยังตกลงที่จะประสานงานและหารือร่วมกันระหว่างรอบการเจรจา (intersession) อย่างเข้มข้น เพื่อให้การเจรจามีความคืบหน้ามากที่สุดและปูทางไปสู่การเจรจาในรอบต่อๆ ไป
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 หัวหน้าคณะเจรจาทั้งสองฝ่ายได้ร่วมงานสัมมนาภายใต้หัวข้อ Navigating Global Trade Uncertainty: Unlocking Mutual Benefits in Thailand-EU FTA Negotiations จัดโดยสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงบรัสเซลส์ เพื่อแจ้งพัฒนาการการเจรจา FTA ไทย-EU และรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนต่อการเจรจา
โดยภาคเอกชนยุโรปที่เข้าร่วมงานมาจากอุตสาหกรรมการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ยานยนต์ ภาคบริการ และเทคโนโลยี ซึ่งหัวหน้าคณะเจรจาทั้งสองฝ่ายได้ย้ำความสำคัญของการเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดในช่วงสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการค้า ผ่านการจัดทำ FTA
รวมถึงร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นกับภาคเอกชนในประเด็นการประกอบธุรกิจและการอำนวยความสะดวกทางการค้า รวมถึงการเปิดตลาดสินค้า บริการและลงทุน และการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ใน FTA ไทย-EU
ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย. 2568) EU เป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทย รองจากจีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น โดยการค้าระหว่างไทยกับ EU มีมูลค่า 29,622.02 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ร้อยละ 1.77 โดยไทยส่งออกไป EU มูลค่า 17,275.88 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 7.50% และไทยนำเข้าจาก EU มูลค่า 12,346.14 ล้านดอลลาร์ ลดลง 5.30%
สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง และรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ
ขณะที่สินค้านำเข้าสำคัญ อาทิ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องบิน เครื่องร่อน อุปกรณ์การบินและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ และเครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 6 ตุลาคม 2568