"หนี้" ปัญหาเรื้อรัง ระเบิดเวลาศก.ไทย
"หนี้" กลายเป็นคำที่สะท้อนภาวะเปราะบางที่สุดของเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ทั้งหนี้ครัวเรือนที่สูงกว่า 91% ของจีดีพี หนี้เอสเอ็มอี ที่ยังฟื้นไม่เต็มตัวหลังโควิด หนี้ กำลังลุกลามไปถึงธุรกิจขนาดใหญ่
ไล่เรื่อยไปจนถึงหนี้เสียในระบบสถาบันการเงินที่กำลังค่อยๆ ปะทุขึ้นอีกระลอก หากปล่อยปัญหานี้ขยายวงโดยไม่จัดการอย่างเป็นระบบ “ระเบิดเวลา” ทางเศรษฐกิจอาจทำให้การฟื้นตัวประเทศสะดุดรุนแรง ท่ามกลางโลกกำลังเปลี่ยนผ่านด้านเทคโนโลยี และพลังงาน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลและสถาบันการเงินพยายามออกมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ เช่น โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ไปจนถึงมาตรการพักหนี้ในแบบต่างๆ แต่ส่วนใหญ่มักเป็นการแก้ไขเฉพาะหน้า ไม่ได้แตะถึงต้นตอหนี้ที่แท้จริง ทั้งในมิติรายได้ที่ไม่โตตามค่าครองชีพ โครงสร้างหนี้ที่ไม่เหมาะกับศักยภาพผู้กู้ รวมถึงระบบติดตาม-ฟื้นฟูหนี้ที่ยังขาดความยืดหยุ่น ทำให้ลูกหนี้จำนวนมากเพียง “รอดชั่วคราว” แต่ไม่สามารถ “กลับมามีศักยภาพทางเศรษฐกิจ” ได้จริง
ขณะเดียวกัน ฝั่งเจ้าหนี้ ทั้งธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ต่างเผชิญแรงกดดันไม่น้อยจากพอร์ตหนี้ที่เริ่มเสื่อมคุณภาพ การเร่งตัดขายหนี้ออกจากงบ หรือการตั้งสำรองเพิ่มย่อมกระทบเสถียรภาพของระบบการเงินโดยรวม ดังนั้นการจัดตั้ง JV AMC หรือ บริษัทร่วมทุนสถาบันการเงิน และบริษัทบริหารสินทรัพย์ เพื่อเข้ามารับซื้อหนี้ด้อยคุณภาพ (โดยเฉพาะหนี้ต่ำแสนบาทที่กระจายอยู่ในระบบจำนวนมาก) จึงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการคลายแรงกดดันนี้
อย่างไรก็ตาม เราเห็นว่า นโยบาย JV AMC จำเป็นต้องประเมินอย่างรอบคอบว่า “ช่วยได้จริงหรือไม่” เพราะในทางขนานกันไปหากเราไม่มีมาตรการฟื้นฟูลูกหนี้ที่มีประสิทธิภาพ หนี้เหล่านี้อาจเป็นเพียงแค่ “การย้ายมือ” จากธนาคารมาสู่ AMC โดยไม่เกิดการฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นควบคู่กัน คือ กลไกปรับโครงสร้างหนี้รายย่อยที่ยืดหยุ่น การให้โอกาสลูกหนี้กลับมาประกอบอาชีพหรือสร้างรายได้ใหม่อย่างยั่งยืน
รัฐบาลควรใช้โอกาสนี้ ทบทวนบทเรียนจากโครงการแก้หนี้ก่อนหน้า ประเมินและติดตามผลหลังเข้าร่วมโครงการ หากนโยบายใหม่ยังยึดรูปแบบเดิม ที่ไม่แตะปัญหาเชิงโครงสร้าง ความช่วยเหลือก็ไม่ต่างจากการ “ยืดเวลา” ระเบิดเท่านั้น ท้ายที่สุด ปัญหาหนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ได้ในเวลาอันสั้น แต่จำเป็นต้องเริ่มให้จริงจังและตรงจุด รัฐบาล สถาบันการเงิน และภาคเอกชนต้องร่วมกันวางระบบฟื้นฟูหนี้อย่างยั่งยืน ตั้งแต่การปรับโครงสร้างรายได้ การเพิ่มทักษะอาชีพ ไปจนถึงการสร้างแรงจูงใจให้เจ้าหนี้และลูกหนี้ “กลับมาพบกันครึ่งทาง” หากทำได้อย่างตรงจุด แม้ไม่สามารถล้างหนี้ทั้งหมดได้ในทันที แต่เราอาจ “คลายชนวน” ระเบิดเวลานี้ก่อนจะสายเกินแก้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2568

