ประเด็นฮอต Davos 2023 ประชุมเศรษฐกิจโลกกับธีม "ความร่วมมือในโลกที่แตกแยก"
ชวนย้อนทำความรู้จักการประชุม World Economic Forum หรือ การประชุมดาวอส (Davos) และดูว่าปีนี้มีหัวข้ออะไรที่สำคัญ มีเหตุการณ์-ประเด็นฮอตอะไรเกิดขึ้นบ้าง
การประชุม World Economic Forum 2023 หรือการประชุมดาวอส (Davos 2023) เริ่มขึ้นแล้วในวันที่ 16 มกราคม ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเหน็บ หิมะขาวโพลน
การประชุมดาวอสปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-20 มกราคม 2023 ในธีม “Cooperation in a Fragmented World” หรือ “ความร่วมมือในโลกที่แตกแยก” ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อจัดการกับความท้าทายที่เร่งด่วนที่สุด และส่งเสริมให้ผู้นำระดับโลกทำงานร่วมกันในด้านต่าง ๆ ทั้งพลังงาน ภูมิอากาศ ธรรมชาติ การลงทุน การค้า โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี ความยืดหยุ่นของอุตสาหกรรมต่าง ๆ งาน ทักษะ การขยับสถานะทางสังคม สุขภาพ และความร่วมมือทางภูมิรัฐศาสตร์ในโลกที่แตกแยกเป็นหลายขั้ว
สำหรับตัวแทนของรัฐบาลไทยที่จะเข้าร่วมงานระดับโลกงานนี้ คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะ
ในโอกาสนี้ ‘ประชาชาติธุรกิจ’ ขอชวนทำความรู้จักการประชุม World Economic Forum หรือ ประชุมดาวอส ให้มากขึ้น และชวนมาดูกันว่า ปีนี้มีหัวข้อการประชุมอะไรที่สำคัญ มีเหตุการณ์-ประเด็นฮอตอะไรเกิดขึ้นบ้าง
World Economic Forum คืออะไร :
World Economic Forum (WEF) เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่ไม่แสวงหาผลกำไร มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1971 (พ.ศ. 2514) โดย ศาสตราจารย์เคลาส์ ชวาบ (Klaus Schwab) นักเศรษฐศาสตร์ย์ชื่อดังชาวสวิส-เยอรมัน มีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในระดับโลกด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม หรือกล่าวได้ว่า เป็นการนำภาครัฐและเอกชนมารวมตัวกันเพื่อระดมความคิดในการแก้ปัญหาระดับโลก
นับตั้งแต่ก่อตั้ง WEF มีการจัดการประชุมทุกปี โดยมีอีกชื่อเรียกว่า การประชุมดาวอส (Davos) ตามชื่อเมืองดาวอส ในรัฐเกราบึนเดิน (Graubünden) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นที่จัดการประชุม แต่ละปีมีผู้เข้าร่วมประมาณ 2,000-3,000 คน ทั้งจากภาครัฐและภาคธุรกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลก
สำหรับปีนี้เป็นการประชุมครั้งที่ 53 มีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 2,700 คน จาก 130 ประเทศ
ผู้นำประเทศใหญ่ไม่เข้าร่วม แต่ภาคธุรกิจเข้าร่วมเพียบ :
ปีนี้เป็นอีกปีที่การประชุมดาวอสถูกเมินจากผู้นำประเทศใหญ่ ๆ มีผู้นำประเทศกลุ่ม G-7 ตอบรับเข้าร่วมการประชุมเพียงประเทศเดียว คือ นายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชลซ์ (Olaf Scholz) ของเยอรมนี ส่วนประเทศอื่น ๆ ส่งตัวแทนเข้าร่วม
แม้จะไม่ใช่ปีแรกที่ผู้นำประเทศใหญ่ ๆ ของโลกไม่เข้าร่วมประชุม แต่ปีนี้อาจจะสร้างความเสียหน้าให้ WEF มากกว่าปีก่อน ๆ เพราะธีมการประชุมในปีนี้ คือ “ความร่วมมือในโลกที่แตกแยก” แต่กลับมีผู้นำจากประเทศที่มีอิทธิพลในเวทีโลกเข้าร่วมประชุมน้อย นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าผู้นำประเทศต่าง ๆ เหล่านั้นมีเวทีอื่นให้ได้พบเจอและหารือกันอยู่แล้ว
ส่วนภาคธุรกิจ ปีนี้ จะมีซีอีโอจากอย่างน้อย 634 บริษัทเข้าร่วมประชุม ยกตัวอย่างบริษัทใหญ่ ๆ เช่น Shell, Amazon, Citigroup, Moderna และ BlackRock นอกจากนั้นยังมีบริษัทที่แม้ซีอีโอไม่ได้เข้าร่วมเอง แต่ส่งตัวแทนเข้าร่วมหลายคน เช่น Google, Emirates, Unilever และ McKinsey & Company เป็นต้น
สำหรับประเทศไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และคณะ จะเป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุม โดยนายอนุทินและคณะจะเข้าร่วมประชุมในหัวข้อ ‘Health Systems Transformation’ ซึ่งที่ประชุมจะหารือกันถึงความร่วมมือระดับโลกทั้งภาครัฐและเอกชนเกี่ยวกับระบบดูแลสุขภาพที่มีความยั่งยืน และหัวข้อ ‘The Pulling Power of ASEAN’ เกี่ยวกับบทบาทของอาเซียนท่ามกลางการแข่งขันทางภูมิเศรษฐศาสตร์ที่รุนแรง และบทบาทการมีส่วนช่วยสร้างเสถียรภาพและความมั่งคั่งของโลก ตลอดจนความร่วมมือในภูมิภาค
เศรษฐีรัสเซียโดนเขี่ยออกจากงาน :
ในหลายปีที่ผ่านมา การประชุมที่ดาวอสจะมีมหาเศรษฐีชาวรัสเซียเข้าร่วมงานจำนวนมาก แต่ปีนี้มหาเศรษฐีชาวรัสเซียถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมงาน ท่ามกลางจำนวนมหาเศรษฐีทั้งหมดที่ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน 116 คน เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
นอกจากไม่มีมหาเศรษฐีรัสเซียแล้ว มหาเศรษฐีจีนก็ไม่เข้าร่วมงาน เนื่องจากมีเรื่องภายในประเทศที่ต้องจัดการ
ส่วนประเทศที่มีมหาเศรษฐีเข้าร่วมงานมากที่สุดยังคงเป็นสหรัฐอเมริกาที่ปีนี้เข้าร่วม 33 คน ขณะที่ยุโรปมี 18 คน อินเดีย 13 คน และที่เพิ่มเข้ามาช่วยทดแทนจำนวนมหาเศรษฐีรัสเซีย ก็คือมหาเศรษฐีจากประเทศกลุ่มประเทศอ่าวอาหรับที่มั่งคั่งจากน้ำมัน
หัวข้อการประชุมที่สำคัญ :
การประชุม WEF ตลอดทั้งสัปดาห์มีหัวข้อการประชุมย่อยมากกว่า 200 หัวข้อ มาดูกันว่าเรื่องสำคัญมีอะไรบ้าง
พลังงานแห่งอนาคต (new energy) :
เนื่องจากภาคพลังงานเกิดภาวะ shock หลายครั้งในปีที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลหลายประเทศต้องปกป้องธุรกิจและประชาชนจากราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และพยายามสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้แก่ประเทศของตนเอง ดังนั้น การประชุมหัวข้อ ‘Mastering New Energy Economics’ ที่ดาวอสในวันที่ 17 มกราคมนี้ จึงเป็นหัวข้อสำคัญ ซึ่งจะมีการหารือกันว่าผู้นำโลกจะกำหนดกกลยุทธ์ด้านพลังงานอย่างไรบ้าง เพื่อให้สินค้าพลังงานมีความยืดหยุ่น มั่นคง และราคาเข้าถึงได้
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ :
ในวันที่ 17 มกราคม มีการรับฟังความคิดเห็นของตัวแทนเยาวชนจากทั่วโลกเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้นำควรทำเพื่อส่งเสริมความยุติธรรม ตลอดจนสนับสนุนชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มากที่สุด
ในวันที่ 17 มกราคมอีกเช่นกัน มีการประชุมเกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ความท้าทาย นโยบายเพิ่มเติมทางการเงินที่จำเป็นในการลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ๆ
และ ในวันที่ 18 มกราคม มีการประชุมเกี่ยวกับขั้นตอนที่เป็นรูปธรรมในด้านสภาพอากาศ ซึ่งจำเป็นต้องดำเนินการร่วมกันในระดับโลก
การรับมือปัญหาทางเศรษฐกิจ :
การแพร่ระบาดของโควิด-19 และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ทั่วโลกเผชิญภาวะเงินเฟ้อตั้งแต่ปีที่แล้ว และเผชิญผลกระทบจากการดำเนินมาตรการเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศเศรษฐกิจหลักยังคงอยู่ เป็นโจทย์ใหญ่ของเศรษฐกิจโลกในปีนี้
ใน WEF วันที่ 17 มกราคม มีการประชุมหารือเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการที่ผู้นำจะสามารถทำได้ เพื่อไม่ให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้นรุนแรง ถ้าจะเกิดก็ให้เกิดอย่างเบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โลกการทำงาน :
วันที่ 18 มกราคม มีหัวข้อการประชุมเกี่ยวกับอนาคตของการทำงานที่จะต้องปรับเปลี่ยนเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านเพื่อให้การทำงานเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ประชากรศาสตร์ และการปรับโครงสร้างของห่วงโซ่คุณค่า (value chain) ใหม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงานโลกในอีก 5 ปีข้างหน้า
วันที่ 19 มกราคม มีการประชุมหารือเกี่ยวกับการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ ว่าจะสามารถแก้ปัญหาเร่งด่วนบางประการในโลกการทำงานในศตวรรษที่ 21 ได้หรือไม่
ภาคการท่องเที่ยว :
สำหรับภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ในวันที่ 19 มกราคม มีหัวข้อการประชุมหารือเกี่ยวกับว่า ผู้นำจะสามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรและแนวปฏิบัติอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้มั่นใจว่าภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะมีความยั่งยืนและยืดหยุ่นมากขึ้น
สุขภาพ :
วันที่ 19 มกราคม มีการประชุมหารือเรื่องความไม่เท่าเทียมกันในด้านสุขภาพ รวมถึงความไม่เท่าเทียมในด้านความเป็นอยู่ที่ดี เพื่อจัดการกับความไม่เท่าเทียมกันด้านสุขภาพทั่วโลก Global Health Equity Network ของ World Economic Forum และพันธมิตรกำลังเปิดตัว Zero Health Gaps Pledge ซึ่งเป็นการให้คำมั่นสัญญาด้านสุขภาพที่ระบุถึงความต้องการและความมุ่งมั่นของภาคส่วนต่าง ๆ ที่จะดำเนินการร่วมกันเพื่อให้โลกมีความเสมอภาคด้านสุขภาพ
การเงิน-การธนาคาร :
วันที่ 18 มกราคม มีหัวข้อการประชุมเกี่ยวกับการเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกรรมการค้าผ่านดิจิทัล ซึ่งจะต้องหารือเพื่อเร่งให้เกิดเทคโนโลยีมารองรับการค้าในทุกขั้นของห่วงโซ่อุปทานให้สามารถทำธุรกรรมการเงินผ่านดิจิทัลได้อย่างทั่วถึงและเชื่อถือได้
วันที่ 18 มกราคม มีการประชุมหารือเกี่ยวกับระบบธนาคารพาณิชย์ ความพร้อม-สภาพคล่องในการรับมือความเสี่ยง การทดสอบว่าระบบของธนาคารพาณิชย์พร้อมสำหรับการใช้เงินทุนและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหรือไม่
ความมั่นคงและสันติภาพ :
วันที่ 18 มกราคม มีหัวข้อการประชุมเกี่ยวกับการฟื้นฟูสันติภาพและความมั่นคงทั่วโลกที่เปราะบางอย่างรุนแรงจากสถานการณ์ในยูเครน
การประท้วงเรื่องสิ่งแวดล้อม :
สิ่งที่จะเห็นคู่ขนานกันเมื่อมีการประชุมใหญ่ ๆ ก็คือ มีการประท้วงโดยนักเคลื่อนไหวและภาคประชาชน
สำหรับการประชุม WEF ปีนี้ นักเคลื่อนไหวด้านสภาพอากาศเปิดฉากประท้วงไปแล้วตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม โดยเป็นการประท้วงต่อต้านบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่เข้าร่วม WEF ปีนี้ ประกอบด้วย BP ของอังกฤษ Chevron จากสหรัฐฯ และ Saudi Aramco จากซาอุดีอาระเบีย
นักเคลื่อนไหวกล่าวว่า บริษัทน้ำมันเหล่านี้กำลังแย่งชิงพื้นที่ในการอภิปรายเรื่องสภาพอากาศ และจะผลักดันนโยบาย-แนวปฏิบัติที่บริษัทของพวกเขาจะได้ประโยชน์
“เรากำลังเรียกร้องให้มีการดำเนินการด้านสภาพอากาศอย่างเป็นรูปธรรมและจริงจัง”
“พวกเขาจะอยู่ในห้องประชุมเดียวกันกับผู้นำประเทศ และพวกเขาจะผลักดันผลประโยชน์ของพวกเขาเอง” นิโคลัส ซีกริสต์ (Nicolas Siegrist) ผู้นำการประท้วงวัย 26 ปี ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค Young Socialists ในสวิตเซอร์แลนด์กล่าว
Oxfam เรียกร้องลดความมั่งคั่งบรรดา top 1% :
16 มกราคม 2566 วันเดียวกันกับที่การประชุมที่ดาวอสเริ่มขึ้น Oxfam องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรได้เผยแพร่รายงาน ‘Survival of the Richest’ ที่มีใจความสำคัญเป็นการเรียกร้องให้บรรดาผู้มั่งคั่งจ่ายภาษีมากขึ้น และตัวแทนของ Oxfam เดินทางไปชุมนุมที่เมืองดาวอสเรียกร้องให้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ เก็บภาษีจากผู้มั่งคั่ง 1% ของประเทศในอัตรา 60% ของรายได้ และเพิ่มอัตราภาษีสำหรับเศรษฐีระดับรอง ๆ ลงไปด้วย
รายงานของ Oxfam ระบุว่า เหล่าคนที่ร่ำรวยที่สุด 1% ของโลกมีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 ใน 3 ของทรัพย์สินที่พวกเขามีในช่วงเกิดการระบาดของโควิด-19 หมายความว่าบุคคลที่รวยที่สุดในโลกได้ดูดซับความมั่งคั่งทั่วโลกในสัดส่วนมากขึ้นในช่วงที่เกิดโรคระบาดและในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่คนยากจนทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี และโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์หลายด้านจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภาระค่าครองชีพ ความอดอยากที่แพร่หลาย และการพัฒนามนุษย์ที่ลดลงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“ในเบื้องต้น โลกควรตั้งเป้าหมายที่จะลดความมั่งคั่งและจำนวนมหาเศรษฐีลงครึ่งหนึ่ง ในช่วงเวลานับจากปัจจุบันนี้ไปจนถึงปี 2030 ทั้งโดยการเพิ่มภาษีสำหรับผู้ที่มีความมั่งคั่งสูงสุด 1% แรก และใช้นโยบายในการปราบมหาเศรษฐีอื่น ๆ อีก” ซึ่ง Oxfam บอกว่า วิธีการนี้จะทำให้ความมั่งคั่งของมหาเศรษฐีกลับไปสู่จุดที่พวกเขามีเมื่อสิบปีก่อน หรือปี 2012
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 16 มกราคม 2566