World Economic Forum Annual Meeting 2023 หรือ WEF ได้กลับมาจัดประชุมประจําปีในช่วงเดือนมกราคมแบบ in person ตามเดิมอีกครั้งหลังจากการระบาดของโรค COVID-19 ภายใต้หัวข้อ ‘Cooperating in a Fragmented World’  โดยมีผู้นำเข้าร่วมทั้งหมด 52 ประเทศ และผู้แทน/ผู้บริหารระดับสูงจากภาคส่วนต่าง ๆ กว่า 2,700 คน โดยมีผู้แทนระดับสูงที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เช่น นาง Christine Lagarde ประธานาธิบดี European Central Bank นาง Ursula von der Leyen ประธานาธิบดี European Commission และผู้นําองค์การระหว่างประเทศ อาทิ UNSG WHO DG WTO DG IMF MD IEA ED UNICEF ED และ NATO SG ทั้งนี้ ในการประชุมดังกล่าวมีการกล่าวถึงประเด็นในด้านต่าง ๆ ดังนี้

 

(1)ด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก :

นาย Klaus Schwab ผู้ก่อตั้ง WEF ได้กล่าวถึงสถานการณ์โลกในปัจจุบันที่มี การพยายามเสริมสร้างอำนาจตัวเอง หรือที่เรียกว่า อำนาจกระจายกลาดเกลื่อน (messy patch of powers)  ส่งผลให้โลกเกิดความไม่มั่นคง เนื่องจากการขาดเสถียรภาพ ทั้งนี้ เลขาธิการสหประชาชาติ (UN Secretary General: UNSG) ได้กล่าวถึง ภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มแยกออกเป็นสองฝั่งระหว่างประเทศมหาอำนาจ (สหรัฐ-จีน) อาจก่อให้เกิดรอยแยกสำคัญ ทำให้มวลรวมทางเศรษฐกิจของโลกถดถอยลงไป ไม่ว่าจะเป็นระบบการค้า เงินตรา อินเตอร์เน็ต และการพัฒนาด้าน Artificial Intelligence (AI) 

 

ขณะเดียวกัน ประเทศไทยเองได้ถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวเช่นเดียวกัน โดยไทยได้ให้ความเห็นว่า ทั้งสองประเทศมีความสำคัญต่อไทย รวมทั้งมีความผูกพันกับไทยมายาวนาน ไทยจึงไม่จำเป็นต้องเลือกข้าง แต่อาจจะมีท่าทีที่แตกต่างออกไปตามสถานการณ์ เช่น การให้นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยโดยไม่ต้องออกมาตรการด้านสุขภาพหลังจากที่จีนได้เปิดประเทศ

 

(2)ด้านเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจโลก :

ในที่ประชุมส่วนใหญ่ มองว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกจะถดถอยในปี 2566 โดย World Bank  ได้ปรับลดการคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกจากร้อยละ 3 เป็นร้อยละ 1.7 เนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลกได้มีการกระชับนโยบายด้านการเงินเพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูง สถานการณ์ทางการเงินที่น่าเป็นห่วง  และสถานการณ์ในยูเครนส่งผลให้โลกไม่สามารถขจัดความยากจนได้ภายในปี ค.ศ. 2030 การนำเข้าอาหารมีมูลค่าสูง ถึง 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสถานการณ์ในยูเครน 

 

ทั้งนี้ รายงานจาก IMF ระบุว่า หนี้ทั่วโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2565 (235 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยประเทศที่มีรายได้ต่ำจะมีสัดส่วนหนี้รวมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2021 โดยได้รับแรงหนุนจากหนี้ภาคเอกชนที่สูงขึ้น ส่งผลให้มีหนี้รวมสูง (ประมาณร้อยละ 88 ของ GDP โลก) ขณะเดียวกัน หลายประเทศยังได้ดำเนินนโยบายย้ายฐานการผลิตกลับมายังภูมิภาคตนเอง (regionalization) หรือกระบวนการส่งกลับการผลิตและการผลิตสินค้ากลับไปยังประเทศของตัวเอง (on-shoring) ส่งผลให้เกิดมาตรการป้องกันทางการค้าที่สร้างปัญหาในการเปิดเสรีตลาด

 

(3)ด้านสิ่งแวดล้อม :

จากสถานการณ์ในยูเครน ส่งผลให้ยุโรปต้องปรับตัวสู่ carbon neutrality ให้เร็วขึ้น เช่นเดียวกันกับประเทศจีนที่ยังเดินหน้าพันธกิจความเป็นกลางทางคาร์บอนอย่างต่อเนื่อง เพื่อขับเคลื่อนการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจีนในอนาคต

 

(4)ประเด็นอื่น ๆ ที่น่าจับตามอง :

Cryptocurrency หนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาจากภาคเอกชน ซึ่งส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าควรมีการประเมินประโยชน์ของเทคโนโลยี blockchain ให้มากขึ้น อีกทั้งต้องมีการควบคุมเงินตราดิจิทัลอย่างจริงจังและมีโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับเงินตราดิจิทัล นอกจากนี้ ประเด็นของ Metaverse WEF มีความมุ่งมั่นในการสร้าง Global Collaboration Village ร่วมกับ Microsoft และ Accenture โดยใช้ระบบโลกเสมือน (virtual reality) ในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน โดยมี ‘Founding Village Partners’ 80 ราย อยู่ในระหว่างการสร้างพื้นที่ในโลกเสมือน เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถแลกเปลี่ยนกันได้ในอนาคต 

 

บทบาทของภูมิภาคต่าง ๆ ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก

 

อาเซียน– สภาวะทางเศรษฐกิจของอาเซียนเริ่มฟื้นฟูขึ้นเรื่อย ๆ โดยคาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 5.2 อัตราการว่างงานค่อนข้างต่ำ และการค้าระหว่างอาเซียนกับจีน ในปี 2565 เพิ่มขึ้นร้อยละ 29 จากปีก่อน

 

ลาตินอเมริกา  – โคลัมเบียและบราซิล แสดงวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน โดยโคลัมเบียต้องการสร้าง grid พลังงานไฟฟ้าจากปาตาโกเนียถึงอลาสกา ซึ่งจะทำให้ประเทศแถบลาติอเมริกาจำหน่ายไฟฟ้าให้ประเทศอเมริกาเหนือได้ ขณะที่บราซิลมีความมุ่งมั่นในการเป็นศูนย์กลางของพลังงานสะอาด

 

แอฟริกา– แอฟริกาต้องเพิ่มการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์และเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนให้มากยิ่งขึ้น โดยต้องก้าวผ่านความท้าทายเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคระบาด และค่าครองชีพที่สูง โดยเน้นย้ำเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกที่ขาดความเท่าเทียม อย่างไรก็ดี แอฟริกาถือว่าเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพ เนื่องจากมีประชากรรุ่นใหม่ที่มีความมุ่งมั่นและความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ มีชนชั้นกลางขนาดใหญ่ ตลาดผลิตภัณฑ์และบริการมีความหลากหลาย และมีกระบวนการเปลี่ยนถ่ายจากชนบทสู่เมืองที่รวดเร็ว จึงอาจเพิ่มโอกาสการเติบโตให้กับภูมิภาคไม่เพียงแต่เฉพาะด้านเศรษฐกิจ แต่อาจรวมถึงในด้านอื่น ๆ ด้วย (ข้อมูล : คณะผู้แทนถาวรฯ ณ นครเจนีวา)

 

ที่มา globthailand

วันที่ 25 มกราคม 2566