กอบศักดิ์ ภูตระกูล แนะ 3 โอกาสสำคัญ ไทยก้าวสู่ฮับลงทุนอาเซียน
หมายเหตุ - นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เสวนาหัวข้อ Thailand opportunity ในงานสัมมนา "Thailand : New Episode บทใหม่ประเทศ 2023" จัดโดยเครือมติชน ที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ (รางน้ำ) เมื่อวันที่ 25 มกราคม
โอกาสของประเทศไทยเป็นคำถามสำคัญที่อยู่ข้างหน้าว่าประเทศไทยจะหยิบฉวยโอกาสในอนาคตมาเป็นของเราได้อย่างไร เป็นโค้งที่สำคัญที่สุดในปี 2566 จะกำหนดว่าประเทศไทยจะเป็นหมู่หรือเป็นจ่า ขึ้นอยู่กับว่าจะทำตัวอย่างไร ไทยได้ผ่าน Perfect Storm แล้ว จากปี 2565 มีความผันผวนและเป็นความท้าทาย คิดว่าไทยกำลังเข้าปีที่ 2 จากวิกฤตรอบนี้ และได้ผ่านไปได้ 1 ใน 3 ของช่วงวิกฤตสิ่งสำคัญที่สุดได้ผ่านหัวของมรสุมไปแล้ว ในเวลาที่มรสุมพัดเข้ามาผ่านประเทศไทยจะมีตั้งแต่หัวมรสุม ผลพวงที่ผ่านมา และสิ่งที่ต้องเก็บกวาดต่อไป
ผลของปีแรก สิ่งที่เกิดขึ้นคือมีความท้าทายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนทั้งปี 2565 ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์รัสเซียบุกยูเครน พบว่าตลาดการเงินโลกปั่นป่วนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และความท้าทายที่จะมีในปี 2565 ต้องคูณเข้าไปอีก 4-5 เท่า จากเดิมคิดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยสู้เงินเฟ้อเฉยๆ แต่เมื่อบวกกับรัสเซียบุกยูเครน
มาถึงเรื่องน้ำมันพุ่งขึ้นสูงในเดือนมีนาคม ราคาโลหะ ราคาอาหาร ทุกอย่างขึ้นพร้อมกัน ส่งผลให้ขณะนั้นคิดว่าจะเกิดวิกฤตอาหารโลก วิกฤตพลังงานโลก วิกฤตเงินเฟ้อโลก และทุกคนก็มองไม่ทะลุว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตาม ขอแสดงความยินดีกับทุกคน เพราะผ่านมาได้เยอะแล้ว เพราะว่าได้ผ่านมา 1 ปีแล้ว และที่สำคัญใน 1 ปีที่ผ่านมา หากดูที่ตัวเลขราคาพลังงาน หรือน้ำมันโลกกลับไปอยู่ที่เดิม ราคาโลหะกลับไปสู่ราคาเท่ากับ 2 ปีก่อนหน้า หรือต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ราคาอาหารที่มีอยู่ช่วงหนึ่งว่าจะเกิดวิกฤตอาหารโลก ขณะนี้กลับเข้าสู่ที่เดิม
จึงไม่แปลกใจว่าในฝั่งยุโรป เงินเฟ้อเริ่มลดลง สหรัฐเงินเฟ้อลดลง และที่ต่างๆ เริ่มบริหารจัดการได้ดีขึ้น แต่ทั้งหมดเกิดจากว่าวันที่เกิดสงครามทำให้เกิดช็อกจากการแซงก์ชั่น แต่หลังจากนั้นสินค้าจำนวนหนึ่งในโลกไม่ว่าจะเป็นปุ๋ย อาหาร น้ำมัน หายไปจากตลาดโลก ตลาดจึงต้องปรับตัวทันที เมื่อเวลาผ่านไปรัสเซียจะรู้จักจีน อินเดีย รู้จักมิดเดิลอีสต์ ก็ส่งสินค้ามาทางนี้ เพราะหลังจากนั้นตลาดเริ่มเข้าสู่สมดุลอีกครั้ง
ผลพวงที่ตามมาอีกครั้งจะเป็นเรื่องการต่อสู้ของเฟดที่เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ โดยปี 2565 เฟดคือตัวป่วน เพราะมือไม่นิ่ง ดังนั้น สิ่งที่ตามมาคือตลาดโลกผันผวนตลอด เพราะดูทิศทางของเฟดว่าจะทำอย่างไรในการปรับอัตราดอกเบี้ยจะเอา 0.25% 0.50% 0.75% หรือ 1% ทุกครั้งมีแต่คำถามและปัญหา จากนั้นจึงนำมาสู่ความผันผวนของตลาดการเงินโลก หุ้นต่างๆ ตกระเนระนาด อาทิ ดาวโจนส์ ลงมา 20% บิตคอยน์ (Bitcion) ลงมาไม่มากไม่น้อย 65% และแนสแด็ค (Nasdaq) ลงมา 33% แม้กระทั่งสินทรัพย์ที่สำคัญเหรียญสหรัฐอินเด็กซ์ ยังขึ้นไปทะลุทะลวงถึง 20% จาก 95% ขึ้นไปประมาณสัก 115%
แต่หลังจากการต่อสู้ได้ผ่านไปตัวของปัญหาต่างๆ คลี่คลายดีขึ้น ต่างมองว่าเฟดน่าจะสบายใจขึ้น จะเห็นว่าดาวโจนส์ปรับตัว และตัวของเหรียญสหรัฐก็ปรับตัว รวมถึงสินทรัพย์อื่นๆ แนสแด็ค บิตคอยน์ ในเดือนนี้เริ่มปรับตัวดีขึ้นจากความรู้สึกว่าเฟดจะปรับตัวเข้าสู้จุดที่จะจบคอร์สการให้ยานี้ได้
ทั้งหมดจึงนำเข้าสู่ปี 2566 เป็นปีที่เริ่มคลี่คลายจากเงินเฟ้อเริ่มลดลง ดอกเบี้ยเริ่มไม่ขึ้น สุดท้ายจะเข้าสู่จุดสูงสุด จากนั้นจะมีผลพวงตามมา หลังจากที่บอกว่าหัวมรสุมได้ผ่านไปเยอะแล้ว แต่ผลพวงตอนที่มรสุมมาตอนที่คลื่นต่างๆ ไปสาดแรงเต็มไปหมดจึงมีภาพการต่อสู้ ผลที่ตามมาคือน้ำท่วม และเรากำลังเข้าสู่ภาวะช่วงที่ 2 คือการที่น้ำท่วมขัง หรือในเศรษฐศาสตร์คือเรื่องของภาวะถดถอยที่เข้ามาเยือนทุกๆ คน คิดว่าเป็นเรื่องกำลังเกิดขึ้น ขณะเดียวกันกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (EM) กำลังมีปัญหา นำมาถึงการฟื้นตัวในสินทรัพย์บางส่วน
อยากให้ดูภาวะเศรษฐกิจถดถอยขณะนี้ ทั่วโลกกำลังเตรียมการรับมือวิกฤตอย่างต่อเนื่อง ดูดัชนีภาคการผลิตและการบริการในอุตสาหกรรม (PMI) ของทั่วโลก อาทิ สหรัฐ ดัชนีตกต่อเนื่อง อียู ดัชนีก็ตกจนช่วงท้ายดีขึ้น เพราะตัวก๊าซเริ่มดีขึ้น แต่สุดท้ายดัชนีต่ำกว่า 50% สหราชอาณาจักร ดัชนีตกลงเรื่อยๆ แม้กระทั่งจีนก็ตกลงเรื่อยๆ ที่น่าสนใจคือการที่เศรษฐกิจต่างๆ ไม่ดี เริ่มส่งผลคือตัวเลขส่งออกของสิงคโปร์ ติดลบ 20% มีความหมาย เพราะสิงคโปร์คือผู้ส่งออกโลก คนที่ส่งสินค้าไปที่สิงคโปร์ก็มีปัญหา เกาหลีก็ติดลบ 10% ในช่วง 2 เดือนติดต่อกัน และอีกเจ้าหนึ่งที่เป็นโรงงานของโลกคือจีน ที่ติดลบ 9.9%
จึงน่าคิดว่าตัวของประเทศต่างๆ ที่เป็นประเทศหลักการส่งออกกำลังเผชิญปัญหา สอดรับกับที่คิดว่าเศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย กำลังซื้อลด บริษัทต่างๆ กำลังเตรียมการเคลียร์สต๊อกไม่ต้องส่งของมา แล้วคนที่ผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกกำลังเผชิญชะตากรรมปีที่ผ่านมา เผชิญความท้าทายที่ตลาดทุน ความผันผวนของสินทรัพย์ แต่ปีนี้ความท้าทายจะอยู่ที่ตลาดจริงก็คือผู้ผลิต และความซบเซาของดีมานด์ต่างๆ ทั่วโลกที่ต้องปรับตัว
โดยเรื่องนี้ การส่งออกไทย เมื่อปรับฤดูกาลเอาทองคำออกไป พบว่าการส่งออกไทยลดลงตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ในเดือนมิถุนายนเป็นต้นมาที่ 10% เรียบร้อยแล้ว ทั้งที่บอกว่าเศรษฐกิจดี ส่งออกได้ แต่ความจริงตัวความซึมเศร้าของเศรษฐกิจโลกได้ปรากฏผลในการส่งออกของไทยแล้ว จึงกังวลใจว่าปี 2566 ความท้าทายทั้งหมดของตัวผู้ประกอบการภาคการผลิตจะผลิตอย่างไร ให้ผ่านตรงนี้ไปได้อย่างไร
ที่สำคัญ บริษัทต่างๆ ได้ลดคนงาน ถูกปลดกะทันหัน ปลดกำลังพลไปถึง 10,000 คน 18,000 คน อาทิ อเมซอน กูเกิล ไมโครซอฟท์ และอีกหลายบริษัท
คำถามว่าทำไมบริษัทใหญ่ขนาดนั้นรักคนของเขาจะตาย สร้างคนมามากแค่ไหน แต่ทำไมต้องปลดคน ก็แสดงว่าเห็นอะไรบางอย่างในอนาคตที่ต้องเตรียมการรองรับ ก็คือเศรษฐกิจที่กำลังซบเซาต่อเนื่อง จึงอยากเอาภาพเหล่านี้มาเตือนใจทุกคนว่าเราอาจอยู่หางของมรสุม ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบตรงๆ แต่ว่าในโลกกำลังมีความท้าทายเรื่องนี้ และมีอย่างต่อเนื่อง
ได้ไปนั่งคิดคาดว่าไทยจะผ่านจุดนี้ไปได้ ไม่มีความจำเป็นว่าทุกคนจะต้องโดนเหมือนกัน ฝนตกเมื่อปีที่แล้ว น้ำท่วมอีสานเยอะแต่ในกรุงเทพฯแทบจะไม่โดนเลย เหมือนกันพายุถล่มสหรัฐ ยุโรป จีน ละตินอเมริกา แต่ว่าประเทศไทยโดยรวมจะผ่านช่วงนี้ไปได้ เพราะว่าโชคดีที่มีภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นในจังหวะที่ถูกต้อง
โดยปี 2565 เริ่มต้นมีนักท่องเที่ยวจาก 130,000 คนช่วงต้นปี ปลายปีจบที่ประมาณ 2 ล้านคนต่อเดือน และปีนี้ แม้จะเห็นภาพประชาชนจีนกำลังสู้เรื่องโควิด และคนไทยก็กลัว แต่คิดแล้วว่าภายในเดือนมีนาคม ทุกอย่างจะจบลง เพราะทางที่จีนเลือกเดินก็คือทางของอินเดีย เป็นทางที่ลุยไฟหรือนางสีดาลุยไป ไหนๆ แล้วไม่มีวัคซีน mRNA ก็ติดกันให้หมด ขณะนี้หลายเมืองในจีนติดไปประมาณ 80% น่าจะผ่านจุดพีคเป็นที่เรียบร้อย พอถึงมีนาคม 2566 คนจีนจะมีภูมิครบทุกคนเรียบร้อยเหมือนที่อินเดียเป็น หลังจากนั้นไทยจะอ้าแขนรับคนจีนเข้าสู่ประเทศเต็มที่ และคนจีนก็พร้อมเที่ยวทุกที่ทั่วโลก หมายถึงเศรษฐกิจจีนในช่วงไตรมาสที่ 2, 3 และ 4 จะฟื้นตัวได้อย่างดี
ทั้งหมดนี้จะดีกับประเทศไทยอย่างยิ่ง ปีนี้คือปีที่ต้องการนักท่องเที่ยวยิ่งเยอะยิ่งดี ช่วยทำให้มีเศรษฐกิจภายในประเทศที่ดีขึ้น ถ้าเกิดส่งออกไม่ได้ก็ขายในประเทศนี้แหละ เพราะฉะนั้นจะสามารถบริหารจัดการปัญหาของเศรษฐกิจไปได้อีกระดับ ทั้งหมดนี้ สิ่งที่มองไม่ทะลุ คือเงินเฟ้อจะดื้อแค่ไหน ที่บอกว่ากำลังลงมาหลายประเทศต่างๆ เมื่อถึง 4% เงินเฟ้อจะลดลงต่อหรือไม่ ที่ลงเร็วเพราะว่าน้ำมันลงเร็ว ต้นทุนโลหะลงเร็ว ต้นทุนเรื่องอาหารลงเร็ว
แต่เมื่อถึง 4% มันคือเงินเฟ้อที่เรียกว่าเงินเฟ้อพื้นฐานมาจากการปรับตัวของตลาดแรงงาน มองไม่ทะลุว่าตลาดแรงงานสหรัฐจะเข้มแข็งอีกนานแค่ไหน แม้กระทั่งสินทรัพย์ที่ขึ้นขณะนี้ก็ส่งผลต่อเฟด ทั้งหมดจะมีนัยต่อไปว่าถ้าเงินเฟ้อไม่ยอมลง เฟดอาจต้องยาวนานขึ้นอีกนิดหนึ่ง หมายถึงว่าภาวะถดถอยอาจจะลึกมากกว่าที่ทุกคนคิด จึงคิดว่าอันนี้คือสิ่งที่เป็นคำถามที่ยังมองไม่ทะลุ แต่อย่างอื่นค่อยๆ ชัดขึ้นว่ากำลังจะเกิดอะไร
สำหรับปี 2566 เรามีคำถามสำคัญอย่างน้อยเรื่องความผันผวนระยะสั้นจะรับมืออย่างไร เมื่อส่งออกไม่ได้ จะผ่านช่วงนี้ไปได้อย่างไร จะหมุนภาคส่งออกจากที่ส่งไปสหรัฐ ยุโรป ไปที่ไหนจะพึ่งพาตัวของท่องเที่ยวให้เข้มแข็งอย่างไร ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องเริ่มคิดต่อไปว่าจะเตรียมการเพื่ออนาคตหลังวิกฤตอย่างไรเพราะว่าวิกฤตอย่างไรก็จบ ไม่มีวิกฤตไหนที่อยู่ตลอดไป เพราะได้ผ่านวิกฤตปี 2540 วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ วิกฤตพลังงานโลก ทุกอย่างฟื้นหมด แม้กระทั่งวิกฤตต้มยำกุ้งที่คิดว่าจะไม่ฟื้นก็ฟื้น เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจโลกก็จะฟื้น
ในจุดนี้ โอกาสที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยกำลังอยู่ข้างหน้า ปี 2566 คือโอกาสที่ 1 การลงทุน ปี 2566 คือโอกาสการลงทุนที่ดีที่สุด ทุกคนไม่ควรพลาด เมื่อเวลาตลาดตกลงคือตลาดหมี จะตามมาด้วยตลาดกระทิง และตลาดหมีบางครั้งในปี 2514 ตกที่ 29% ตลาดกระทิง 76% ในปี 2524 ตลาดหมี 20% ตลาดกระทิง 282% หมายความว่านี่คือโอกาสการลงทุนที่ดีที่สุด หากพลาดช่วงนี้จะต้องรออีกหลายรอบ
อยากให้ดูว่าวิกฤตไม่ต้องจบแต่ตลาดสามารถรีบาวน์ได้ ตัวอย่างปี 2551 ตอนวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ หุ้นตกหนักตอนเกิด เลห์แมน บราเธอร์ส สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของสหรัฐประกาศล้มละลาย และหลังจากนั้นหุ้นลงมาต่อเนื่องจนกระทั่งสหรัฐได้ทำสเตรตเทสต์ (ทดสอบความเสี่ยง) เสร็จแล้ว ไม่มีแบงก์ไหนล้มละลายเพิ่มอีก หลังจากนั้นตลาดมีความเชื่อมั่นจากระดับล่างก็ขึ้นไปต่อเนื่องภายใน 6 เดือน แต่วิกฤตสินเชื่อซับไพรม์มีระยะเวลาต่อเป็นปี แต่ตลาดได้ปรับความเชื่อมั่นขึ้นเรียบร้อย
เพราะฉะนั้นจากปีที่แล้ว ชอบเตือนให้ทุกคนเข้าหลุมหลบภัย ปีนี้อยากจะบอกทุกคนว่าถึงเวลาเปิดฝาหลุมแล้วออกมาเผยอออกมาดูโลกบ้างว่าโอกาสอยู่ตรงไหน แล้วจะเริ่มแย้มประตูออกไปว่าสินทรัพย์ต่างๆ กำลังปรับตัวอย่างไรบ้าง เพราะว่าเวลาที่ตลาดหมีเกิดภาวะถดถอย ตลาดจะตกประมาณ 30% และ 1 ปีให้หลังจะรีเทิร์นอย่างน้อย 50% หมายถึงว่าทุกราคาที่ซื้อขณะนี้ 2 ปีให้หลังน่าจะไปได้ดีอย่างยิ่ง เป็นผลตอบแทนที่ดี
เช่น ช่วงมกราคม 2565 หุ้นกูเกิล เป็นหุ้นเทคโนโลยีลงมาจาก 150% และเคยลงมาที่ 80% แต่ช่วงหลังเริ่มปรับตัว เริ่มไปได้ดีระดับหนึ่ง ก็อาจมีช่วงหนึ่งที่ลงต่ำระดับล่าง แต่ถ้าถ้าไปก็เป็นโอกาสลงทุนที่น่าสนใจ อเมซอน ลงมาจาก 180% ลงมาอยู่ที่ 80% ล่าสุดปรับตัวดีขึ้น แต่ที่น่าเสียดายหุ้นไทยไม่ค่อยตก แต่หุ้นต่างชาติตก โอกาสจึงอยู่ที่หุ้นต่างชาติที่น่าลองดู
โอกาสที่ 2 การเป็นฮับของภูมิภาค เป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะวางอนาคตยาวไปอีกระดับหนึ่ง ทุกคนมองทะลุว่าเอเชียคือเป้าหมายของตลาดทั้งหมด ขณะนี้มหาเศรษฐีกว่า 950 คน เยอะที่สุดในโลก หรือคนที่รวยที่สุดของโลกกำลังอยู่ที่เอเชีย แต่ปัญหาคือสงครามที่เกิดขึ้นปีที่แล้ว กำลังมีผลต่อเนื่อง ทำให้เอเชียที่เป็นเป้าหมายของทุกคนเข้ายากขึ้นเรื่อยๆ รัสเซียเป็นไปไม่ได้แล้วและคงไม่เผาผีกัน จีนเช่นเดียวกัน แม้จะพูดดีแต่ปัญหาจีนกับสหรัฐ เป็นปัญหาลึกซึ้ง ได้ยินว่าบริษัทของสหรัฐ หรือหลายๆ ประเทศทยอยออกมามากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐแย่ลงเรื่อยๆ
หมายความว่าเมืองจีนก็ไม่ง่าย ที่เหลือจะมีอินเดียและอาเซียน แต่ว่าอินเดียทำธุรกิจยาก ภูมิภาคที่น่าสนใจที่สุดก็คืออาเซียน เฟรนด์ลี่ที่สุด น่าสนใจที่สุด เป็นที่ที่กำไรที่สุดกับบริษัทต่างๆ ไม่น่าแปลกใจที่บริษัทเริ่มหลั่งไหลมาลงทุน หรือส่งทีมมาดูพื้นที่อย่างเต็มที่ เพราะถ้ามาจุดนี้ได้จะสามารถนำการผลิตและตีตลาดเอเชียทั้งหมดได้ เพราะลิงก์กันทั้งหมด โดยเฉพาะประเทศไทย
ขณะนี้มีการขอลงโครงการต่างๆ เช่น โรงงานไฟฟ้า การขยายกิจการ ทำโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทั้งหมดภายใน 5 ปี จะเปลี่ยนทุกอย่างของอาเซียน คือโอกาสทุกอย่างกำลังเกิดขึ้น เพียงแต่ว่าท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงก็มี 2 ความท้าทายเกิดขึ้นมาคือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนผ่าน โครงสร้างใหม่ที่กำลังลงไปเกิดขึ้นพร้อมกับบุญเก่าที่กำลังหมดไปของประเทศไทย หลายอุตสาหกรรมที่เคยพึ่งพาในอดีต ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ฮาร์ดดิสก์ โรงเหล็ก อาหาร กำลังทดแทนจากรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) คลาวน์ รวมถึงวัสดุใหม่ๆ ที่ผลิตปราศจากคาร์บอน อาหารที่กำลังเป็นเนื้อเทียม เป็นต้น
จึงกังวลว่าโอกาสกำลังเข้ามาแต่ว่าบุญจะหมด ที่สำคัญการลงทุนโดยตรงระหว่างประเทศ (เอฟดีไอ) กำลังเข้าอาเซียน เวียดนามได้ไป 3 เท่าของประเทศไทย ทุก 1 โรงงานที่ไทยได้ เวียดนามจะได้ไป 3 โรงงาน อินโดนีเซียก็ได้เช่นกัน เยอะกว่าประเทศไทย วันนี้ยังไม่เห็นผล แต่ในอนาคตเมื่อโครงสร้างเหล่านั้นเสร็จจะกลายเป็นโครงสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเป็นฐานที่ใช้ต่อไป จึงเป็นโอกาสที่จะสามารถดึงมาเป็นของไทยได้หรือไม่
มีที่น่าสนใจคือการที่กลายเป็นฮับของภูมิภาค ไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่าง แต่การเป็นฮับต้องอยู่ในเมืองไทยให้ได้ ขณะที่ทุกคนกำลังมาเมืองไทยมีโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ ที่สำคัญคือย่านศูนย์กลางทางธุรกิจ (CBD) กำลังเกิดขึ้นและจะเสร็จใน 5 ปี รถไฟใต้ดินจะเสร็จเช่นเดียวกันจะทำให้กรุงเทพมหานคร รวมถึงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทำให้ไทยเป็นตัวเลือกแรกในการที่จะย้ายฐานเข้าสู่จุดนี้ สร้างเป็นสำนักงานใหญ่ ศูนย์วิจัย ศูนย์กลางทางการแพทย์ ศูนย์โลจิสติกส์ แต่หัวใจคือจะเปลี่ยนตัวเองไปถึงจุดนั่นหรือไม่ จะเปลี่ยนเรื่องการเข้าเมือง เปลี่ยนเรื่องคน โครงสร้าง จะทำให้เมืองไทยน่าสนใจ มีท่าเรือน้ำลึกฝั่งตะวันตกได้หรือไม่ เพราะในอนาคตโอกาสของอินเดียจะมากขึ้น
ไทยจะเป็นฮับของสตาร์ตอัพได้หรือไม่ ความจริงสตาร์ตอัพไม่ได้อยู่เมืองไทย ถึงเวลาไปจดทะเบียนที่สิงคโปร์ แล้วไทยต้องทำให้เขาเข้ามาให้ได้ เพราะต่างชาติหากอยู่เมืองไทยมีความคุ้ม และเข้ามาอยู่พื้นที่ภูเก็ต เชียงใหม่ แต่ทำอย่างไรจะเอาออกมาสู่พื้นที่ที่ใช่อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเอาเด็กไทยเข้าไปทำงานร่วม โจทย์นี้คือโจทย์สำคัญ เพราะอนาคต 10 อันดับแรกในตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐ คือเทคคอมพานี ประเทศไทยที่น่ากังวลใจเพราะผู้ที่พัฒนาสตาร์ตอัพของเมืองไทยลดลงเรื่อยๆ ดังนั้น เรื่องที่ควรแก้กฎหมาย การปรับปรุงโครงสร้าง เพื่อสนับสนุนเด็กเหล่านี้ให้กลายเป็นผู้พัฒนาสตาร์ตอัพต่อไป ไทยสามารถทำได้ แต่จะทำหรือไม่
สุดท้ายโอกาสที่ 3 ก้าวออกสู่ภูมิภาค นอกจากจะเป็นฮับแล้ว บริษัทของคนไทยเป็นโอกาสสำคัญจะก้าวไปสู่การยึดครองภูมิภาค ภาพจากเวียดนามที่เป็นตลาดซื้อขายครึ่งหนึ่งเป็นสินค้าจากไทย เพราะชอบสินค้าไทย ซึ่งไทยไปได้ไกลกว่านั้น อยากให้นักธุรกิจไทยคิดถึงเรื่องการย้ายฐานไปตั้งที่ประเทศเหล่านั้น มีโอกาสและอยากจะให้ไปไกลกว่า CLMV อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์กำลังมา บังกลาเทศ น่าสนใจเช่นกันเพราะก็ชอบสินค้าไทย และสุดท้ายกัดฟันเพื่อไปสู้ในอินเดียกัน ไม่ควรปล่อยมือ คนต่อไปเข้าต่อมาจะยากขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าทำได้จะเป็นโอกาสที่ดีของไทย
ทั้งหมดนี้คือโอกาสที่กำลังรอเราอยู่ หัวใจสำคัญคือทำโอกาสให้เป็นของเรา นี่คือสิ่งที่อยากฝากทุกคน เพราะทุกคนมีโอกาสในชีวิต เพียงแต่ว่าหลายคนจะปล่อยโอกาสให้ผ่านไป หัวใจสำคัญที่สุดในชีวิตคือทำอย่างไรให้โอกาสที่เปิดขึ้นมาเป็นของเรา สำหรับประเทศไทยกำลังอยู่จุดนั้น โค้งสำคัญที่สุดที่จะกำหนดว่าประเทศไทยเป็นใครใน 10 ปีให้หลัง ขอบคุณครับ
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 26 มกราคม 2566