"แนวโน้มเศรษฐกิจของสวิตเซอร์แลนด์ ปี 2566"
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจของ SECO คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจของสวิตเซอร์แลนด์ ในปี 2566 จะเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ร้อยละ 1
การค้าระหว่างประเทศของสวิสจะชะลอตัวต่อเนื่องไปจนถึง ปี 2567 เนื่องจากอุปสงค์ในตลาดโลกที่ลดลง ตลอดจนภาวะเงินเฟ้อและความเข้มงวดทางมาตรการด้านการเงินในหลายพื้นที่ทั่วโลก
นอกจากนั้น ยังมีความเสี่ยงจากกรณีสถานการณ์เลวร้าย (negative scenario) คือ
(1) เกิดการขาดแคลนพลังงานในยุโรปในช่วงฤดูหนาว ปี 2566/67 ซึ่งจะกระทบกับความสามารถในการผลิตและก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
(2) การที่มาตรการด้านการเงินส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรุนแรงกว่าที่คาดไว้ โดยอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้การลงทุนระหว่างประเทศลดน้อยลง หนี้สินทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังทำให้ค่าเช่าบ้านเพิ่มสูงขึ้นด้วย และ
(3) การที่เงินเฟ้อยังคงไม่ปรับตัวลดลงทำให้ต้องมีมาตรการด้านการเงินที่เข้มงวดขึ้นอีก
อัตราเงินเฟ้อ :
ธนาคารกลางสวิส คาดการณ์ว่า ในปี 2566 อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ร้อยละ 2.4 โดยการบริโภคภายใน ประเทศจะลดลงแต่ราคาสินค้ารวมถึงค่าเช่าบ้านในสวิสจะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากอุปทานด้านที่พัก นอกจากนั้น FDHA (Federal Department of Home Affairs) ของสวิสเผยว่า ในปี 2566 ค่าใช้จ่ายด้านการประกันสุขภาพจะเพิ่มขึ้นประมาณ ร้อยละ 6.6 ขณะที่ Eltcom คาดว่า ค่าไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 27
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย :
คาดการณ์ว่า การประชุมธนาคารกลางสวิสในเดือน มีนาคม 2566 จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 และน่าจะเป็นครั้งสุดท้าย หากอัตราเงินเฟ้อลดลงอยู่ภายใต้เป้าหมาย (โดยปกติพยายามคุมให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ระหว่างร้อยละ 0 – 2) ทำให้อัตราดอกเบี้ยของสวิสอยู่ที่ร้อยละ 1.25 ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นน่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนระหว่างประเทศที่ลดลง
อัตราการว่างงาน :
SECO คาดการณ์ว่า ในปี 2566 อัตราการว่างงานจะปรับขึ้นเล็กน้อย เป็นร้อยละ 2.3 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงซบเซา นอกจากนั้น การแข่งขันแรงงานที่มีทักษะสูงในสาขา IT และ วิศวกรรม ยังคงมีต่อเนื่องจากปี 2565
ด้านอุตสาหกรรมแขนงต่างๆ
1)อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสวิสคาดการณ์ว่า ในปี 2566 จำนวนนักท่องเที่ยวพักค้างคืน จะกลับมาเท่ากับร้อยละ 95 ของจำนวนก่อนสถานการณ์โควิด-19 เมื่อปี 2562 โดยจำนวนนักท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 และจำนวนนักท่องเที่ยวยุโรปจะกลับมาเท่ากับก่อนหน้าโควิด-19 ได้ภายในปี 2568 ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวระยะไกลรวมถึงการฟื้นฟูการท่องเที่ยวจะกลับเป็นปกติได้ประมาณปี 2569
2)เครื่องจักรกล วิศวการไฟฟ้า และโลหะ โดยเฉพาะการส่งออกไปยังเยอรมนี ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 4 ของการส่งออกด้านดังกล่าวทั้งหมด จะมีการปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาเป็นผลจากภาวะเงินเฟ้อ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์พลังงานและการแข็งค่าของเงินฟรังก์สวิส
3)อุตสาหกรรมนาฬิกา จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมา ตามแนวโน้มของตลาดโลก นาฬิกามูลค่าสูงได้กลายเป็นสินค้าเพื่อการลงทุน และ นาฬิกาที่มูลค่าน้อยกว่า 500 ฟรังก์สวิส กลับมาได้รับความนิยมอย่างสูง
4)เภสัชภัณฑ์และเทคโนโลยีชีวภาพ (biotech) โดยประเทศสวิสเป็นประเทศที่พัฒนานวัตกรรมในสาขาดังกล่าวมากที่สุดในโลก จึงต้องติดตามความเกี่ยวข้องกับแนวโน้ม/ประเด็น อาทิ (1) ราคาเภสัชภัณฑ์ที่สูงขึ้นและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้นเรื่อย ๆ (2) การเจรจาความตกลง Institutional Framework Agreement (InstA) กับ EU ซึ่งหยุดชะงักไปในปี 2564 โดยหนึ่งในประเด็นที่ติดขัด คือ การเคลื่อนย้ายคนโดยเสรี ซึ่งรวมถึงบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และการวิจัยในสาขาที่เกี่ยวข้องด้วย และ (3) การย้ายแหล่งผลิตที่อยู่ห่างไกลในต่างประเทศกลับสู่ในประเทศ/ภูมิภาค หลังจากตระหนักถึงการขาดแคลนเภสัชภัณฑ์ เนื่องจากปัญหาห่วงโซ่การผลิตในช่วงที่ผ่านมา
ภาคธุรกิจระหว่างประเทศจะได้รับแรงกดดันและต้องปรับตัวในเรื่องธุรกิจกับ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยในปี 2566 จะเป็นครั้งแรกที่บริษัทขนาดใหญ่จะต้องจัดทำรายงานผลการดำเนินงานตามแนวทางธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่ของสวิสซึ่งอาจกระทบกับผลประโยชน์ทางธุรกิจที่บริษัทเคยได้รับ
ทั้งนี้ ในปี 2567 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจของ SECO คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ ของสวิสอยู่ที่ร้อยละ 1.6 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 1.5 และอัตราการว่างงานเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ ร้อยละ 2.4 (ข้อมูล: สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบิร์น)
ที่มา globthailand
วันที่ 21 มีนาคม 2566