ทำความรู้จัก Flagship Medical Tourism Hospital Programme ในมาเลเซีย
เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2566 Malaysia Healthcare Travel Council (MHTC) องค์กรภายใต้กระทรวงสาธารณสุขมาเลเซีย ได้เปิดตัว Flagship Medical Tourism Hospital Programme ซึ่งนับเป็นข้อริเริ่มครั้งแรกในการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานใหม่เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ระดับสากลของมาเลเซีย
โดยมี Dr. Zaliha Mustafa รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาเลเซีย นาย Mohd Daud Arif ประธานบริหาร MHTC และผู้บริหารจากโรงพยาบาลที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการร่วมด้วย
โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้มาเลเซียเป็นจุดหมายระดับโลกในการให้บริการด้านการแพทย์ที่ปลอดภัยและได้รับความไว้วางใจและก้าวเข้าสู่เป้าหมาย Best Malaysia Healthcare Travel Experience ภายใน 2025 โดยมีหมุดหมายสำคัญ 3 ประการ ได้แก่
(1) medical excellence
(2) service excellence
(3) international branding ซึ่งเป็นความร่วมมือดำเนินการร่วม
ระหว่าง MHTC กับ บ. IQVIA และ JCI (Joint Commission International)
MHTC ได้ประกาศเริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ปี 2561 โดยได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากรัฐบาลมาเลเซียและกระทรวงสาธารณสุขมาเลเซีย โดยในปีที่ผ่านมาได้เริ่มกระบวนการประเมินคัดเลือกสถานบริการทางสุขภาพเพื่อเข้าร่วมโครงการ และเมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา ได้ประกาศเปิดตัวโครงการพร้อมรายชื่อโรงพยาบาลที่ได้ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการในรอบสุดท้าย (shortlisted finalists) 4 แห่ง ได้แก่ National Health Institute (กรุงกัวลาลัมเปอร์) Island Hospital (ปีนัง) Mahkota Medical Centre (รัฐมะละกา) และ Subang Jaya Medical Centre (รัฐสลังงอร์)
ซึ่งขณะนี้ถือว่าได้ก้าวเข้าสู่ Acceleration Period ระยะ 3 ปี (2560 – 2564) เพื่อพัฒนาศักยภาพไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายที่จะมีการคัดเลือกโรงพยาบาลที่มีคุณสมบัติครบถ้วนที่ได้รับการยอมรับระดับชาติ (national recognition) ภายใต้โครงการในปี 2025
ในช่วง 3 ปีจากนี้ โรงพยาบาลทั้ง 4 แห่งจะได้รับการสนับสนุน ดังนี้ (1) การอำนวยความสะดวกในกระบวนการพัฒนาศักยภาพ
(2) healthcare technology sandbox
(3) การให้คำปรึกษา
(4) การติดตามและประเมินพัฒนาการ
(5) การลดหย่อนภาษีการลงทุนพิเศษ
ทั้งนี้ นาย Mohd Daud Arif มีความคาดหวังว่า โครงการฯ จะช่วยสร้างการลงทุนโดยตรงในภาคการบริการทางสุขภาพมากถึง 250 พันล้านริงกิต/โรงพยาบาล และเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังมาเลเซีย ร้อยละ 30 ภายใน 3 ปีจากนี้ โดยในปีที่ผ่านมา มาเลเซีย มีรายได้จากนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นผู้รับบริการทางการแพทย์กว่า 1.3 พันล้านริงกิต (คิดเป็นประมาณร้อยละ 76 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ที่ 1.7 พันล้านริงกิต ในปี 2562)
การเป็นประเทศมุสลิมและข้อได้เปรียบในเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษ มาเลเซียอาจดึงดูดนักท่องเที่ยวผู้รับการบริการทางการแพทย์จากฝั่งตะวันออกกลาง และประเทศมุสลิมอื่น ๆ ในภูมิภาคใกล้เคียงได้มากยิ่งขึ้น หากโครงการฯ ประสบความสำเร็จซึ่งอาจ เพิ่มภาวการณ์แข่งขันในอาเซียนได้
ทั้งนี้ สถานที่ตั้งของโรงพยาบาลทั้ง 4 ที่ผ่านการคัดเลือกตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยวสำคัญของมาเลเซีย และเชื่อมต่อกับสนามบินนานาชาติ Penang และ Subang ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลมาเลเซียภายใต้ Dato’ Seri Anwar bin Ibrahim มีแผนจะฟื้นฟูและเพิ่มศักยภาพสนามบินทั้งสองแห่งเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและส่งเสริมการค้า การลงทุน พร้อมกับนโยบายสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมยา รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการฯ
สามารถเข้าไปดูเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.mhtc.org.my/flagship- medical-tourism-hospital-programme
จากความเคลื่อนไหวข้างต้น นับเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของไทย โดยจุดแข็งสำคัญซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงกว้างเมื่อเทียบกับมาเลเซียอาจเป็น “วัฒนธรรมไทย” ที่การบริการมีความใส่ใจ พิถีพิถัน และมีความพร้อมของสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งเป็นประเด็นที่ MHTC ได้เคยกล่าวชื่นชมไทยไว้ด้วย (ข้อมูล : สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์)
ที่มา globthailand
วันที่ 3 เมษายน 2566