การพัฒนาเกษตรอัจฉริยะของมณฑลฝูเจี้ยน และโอกาสความร่วมมือกับไทย (ตอนที่ 2)
ในตอนที่ 1 เราได้ทราบเกี่ยวกับภาพรวมและนโยบายด้านการเกษตรซึ่งจีนกำลังผลักดันกันไปแล้ว ในตอนนี้เราจะมาเจาะลึกกันถึงพื้นที่ในมณฑลฝูเจี้ยนที่มีศักยภาพในด้านเกษตรอัจฉริยะกันบ้าง แต่ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า อุตสาหกรรมการเกษตรของมณฑลฝูเจี้ยนส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรป่าไม้และทรัพยากรทางทะเล เช่น เมืองจางโจว เมืองหนิงเต๋อ และเมืองซานหมิง โดยอุตสาหกรรมการเกษตรของเมืองจางโจวมีมูลค่าการผลิตสูงกว่า 1 แสนล้านหยวน สูงเป็นอันดับ 1 ของเมืองในมณฑล และเกษตรกรมีรายได้เฉลี่ยต่อปีสูงเป็นอันดับ 1 ของเมืองในมณฑล ขณะที่เมืองหนิงเต๋อ และเมืองซานหมิง มีมูลค่าการผลิตทางการเกษตรสูงกว่า 5 หมื่นล้านหยวน
เมืองจางโจว เป็นหนึ่งในฐานการส่งออกสินค้าทางการเกษตรแห่งชาติ โดยมีผลผลิตทางการเกษตรที่สร้างรายได้หลัก เช่น ผลไม้และไม้ดอก โดยเฉพาะ กล้วยไม้ ซึ่งมีพื้นที่ปลูกสูงเป็นอันดับ 1 ของมณฑล พืชผักและเห็ด มีปริมาณการผลิตสูงเป็นอันดับ 1 ของมณฑล
ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลจางโจวมุ่งพัฒนาเกษตรอัจฉริยะและเกษตรสีเขียวอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการวิจัยและพัฒนาเกษตรอัจฉริยะควบคู่กับการใช้พลังงานแสงอาทิตย์โดยร่วมมือกับบริษัท Fujian Lvling Agricultural Technology จำกัด ผู้วิจัยและพัฒนา solar cell ติดตั้งแผง solar cell บนหลังคาโรงเรือนพืชผัก และฟาร์มอัจฉริยะต่างๆ รวมทั้งติดตั้งระบบผลิตไฟที่เชื่อมต่อกับกริด solar cell สำหรับจ่ายไฟให้กับระบบปรับอากาศในโรงเรือนแทนการใช้ไฟฟ้าจากภาครัฐ
ตัวอย่างโครงการสำคัญ เช่น โครงการเกษตรอัจฉริยะ solar cell บนพื้นที่ 500 ไร่ บนเนินเขาที่อำเภอจางผู่ของเมืองจางโจว ซึ่งสามารถรองรับแสงแดดเฉลี่ยต่อปีประมาณ 2,220 ชั่วโมง ส่งผลให้ เมืองจางโจวกลายเป็นฐานสาธิตพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อเกษตรกรรมที่สำคัญของมณฑลฝูเจี้ยน
เมืองหนิงเต๋อ เป็นหนึ่งในฐานการประมงขนาดใหญ่ของมณฑลฝูเจี้ยน โดยมูลค่าการผลิตสินค้าประมงสูงกว่า 3.43 ล้านหยวนต่อปี คิดเป็นร้อยละ 19.5 ของมูลค่าสินค้าประมงทั้งมณฑล ปัจจุบัน รัฐบาลหนิงเต๋อให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการประมงอัจฉริยะ โดยเน้นการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทางทะเล การติดตั้งเครือข่ายอินเตอร์เน็ต 5G ให้ ครอบคลุมพื้นที่ทะเลหลายส่วน การสร้างฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและการทำประมงนอกชายฝั่งและประมงน้ำลึกอย่างยั่งยืน และครบวงจรด้วยการสร้างระบบสังเกตการณ์ทางทะเลโดยใช้เทคโนโลยี 3 มิติ และดาวเทียม เพื่อเก็บข้อมูลระบบนิเวศสัตว์น้ำ และทดสอบคุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำรวมทั้งการสำรวจทรัพยากร การป้องกันและบรรเทาภัย ตลอดจนการพัฒนาเศรษฐกิจทางมหาสมุทร
ล่าสุดเมื่อต้นปี 2566 เมืองหนิงเต๋อร่วมมือกับบริษัท Huawei ในการก่อสร้างสถานีส่งสัญญาณ 5G ทั้งหมด 300 แห่งในพื้นที่ทะเล 50 กิโลเมตร และติดตั้งระบบดาวเทียมเป่ยโต่วบนเรือประมงเพื่อติดตามและตรวจจับการทำงานของเรือประมงนอกชายฝั่งในทุกสภาพอากาศ
นอกจากนี้ รัฐบาลหนิงเต๋อส่งเสริมการทำประมงแบบยั่งยืนและพึงพาตนเอง เช่น การปรับระบบการเลี้ยงปลาในกระชังภายใต้หลังคา solar cell และการกักเก็บพลังงานลมแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าที่ในฟาร์มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในทะเลแทนการใช้ไฟฟ้าจากการจ่ายไฟของภาครัฐ
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา มณฑลฝูเจี้ยนได้มุ่งส่งเสริมความร่วมมือด้านเกษตรอัจฉริยะกับต่างประเทศ หนึ่งตัวอย่างความร่วมมือที่น่าสนใจ คือ ความร่วมมือระหว่างศูนย์เกษตรดิจิทัล สถาบันวิทยาศาสตร์และการเกษตรมณฑลฝูเจี้ยนกับหน่วยงานด้านการเกษตรของอิสราเอล เพื่อก่อสร้างฟาร์มสาธิตอัจฉริยะ 5G จีน-อิสราเอลที่นครฝูโจว
ซึ่งเป็นฟาร์มอัจฉริยะที่มีเครือข่าย 5G ครอบคลุมครบวงจรแห่งแรกของมณฑล มีการใช้หุ่นยนต์ AI “เสี่ยวรุ่ย” ในการทำงานภายในฟาร์มตั้งแต่การตรวจสอบสภาพภายในโรงเรือน ตรวจจับโรคในพืชก่อนการแพร่ระบาด และสามารถรายงานความผิดปกติของสภาพแวดล้อมภายในฟาร์มแบบ real-time
นอกจากนั้น มณฑลฝูเจี้ยนยังเป็นที่ตั้งของสถานศึกษาชั้นนำของจีนด้านการเกษตรอย่างมหาวิทยาลัย Fujian Agriculture and Forestry ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับการเกษตร เช่น หุ่นยนต์ AI เทคโนโลยีการเก็บข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ด้านการเกษตรโดยใช้ Big Data และ IoT และ เทคโนโลยีเซ็นเซอร์ด้านการเกษตรและประมงเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิความชื้น ความเข้มของแสง เสียงรบกวน รวมถึงการวัดปริมาณออกซิเจน ค่า pH และระดับนำสำหรับการทำประมงอัจฉริยะ
โอกาสของผู้ประกอบการไทย :
ไทยสามารถถอดบทเรียนการพัฒนาเกษตรอัจฉริยะของจีนและมณฑลฝูเจี้ยน เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาภาคเกษตรของไทย และส่งเสริมหุ้นส่วนด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันวิจัยระหว่างไทย – จีน ตลอดจนการต่อยอดและใช้ประโยชน์จากงานวิจัยในเชิงพาณิชย์
ขณะเดียวกัน ในภาคการลงทุน ไทยต้องเร่งชักจูงการลงทุนจากวิสาหกิจจีนที่มีศักยภาพด้านการสร้างระบบบริการเทคโนโลยีการเกษตรที่ล้ำสมัย เครื่องจักรและอุปกรณ์ทางการเกษตรอัจฉริยะ รวมทั้งความร่วมมือในการฝึกอบรมทักษะการใช้เทคโนโลยีการเกษตร ตลอดจนเทคโนโลยีการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และเพิ่ม ความเข้มแข็งแก่ห่วงโซ่อุปทานการเกษตรของไทยให้ในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศได้อย่างยั่งยืน (ข้อมูล สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองเซี่ยเหมิน)
ที่มา globthailand
วันที่ 20 มิถุนายน 2566