"ปานปรีย์" มอบนโยบาย "การทูตเชิงรุกในโลกแบ่งขั้ว"
การประชุมเอกอัครราชทูตไทยและกงสุลใหญ่ทั่วโลกจาก 97 ประเทศเริ่มขึ้นแล้ววันนี้ (20 พ.ย.) "ปานปรีย์" มอบนโยบาย "การทูตเชิงรุกในโลกแบ่งขั้ว" ย้ำทูตยุคใหม่ต้องทำงานเร็วขึ้น สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ และตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม
นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเปิด การประชุมเอกอัครราชทูตไทยและกงสุลใหญ่ทั่วโลกจาก 97 ประเทศ ที่โรงแรมเจดับบลิว แมริออท กรุงเทพฯ เช้าวันนี้ (20 พ.ย.) ภายใต้หัวข้อ “การทูตเชิงรุกในโลกแบ่งขั้ว” ระบุว่า การทำงานของเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ในยุคนี้ จะเป็นการทำงานแบบเดิมๆ หรือ business as usual ไม่ได้แล้ว แต่ต้องเป็นการทำงานในเชิงรุก และสามารถตอบโจทย์ผลประโยชน์ของประเทศและคนไทยให้เป็นที่ประจักษ์และเป็นรูปธรรม
ย้ำว่า การทูตเศรษฐกิจเชิงรุกเป็นเครื่องมือสำคัญของการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างความกินดีอยู่ดีของประชาชน และขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า
"ในบริบทภายในประเทศ ประชาชนมีความตื่นตัวและสนใจด้านการต่างประเทศมากขึ้น ทำให้การทำงานของเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ต้องมีความรวดเร็วและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งผมมีความเชื่อมั่นในความรู้ ความสามารถ และความเป็นมืออาชีพของท่านทูตและกงสุลใหญ่ทุกท่านที่จะช่วยกันขับเคลื่อนการทูตเชิงรุกของไทย"
ทั้งนี้ การประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2566 ที่เริ่มขึ้นในวันนี้ (20 พ.ย.) จะมีไปจนถึงวันที่ 24 พ.ย. 2566 ภายใต้หัวข้อหลัก “การทูตเชิงรุกในโลกแบ่งขั้ว” แต่ในหัวข้อย่อย ก็จะมีการประชุมหารือและระดมพลังสมองในหัวข้อต่างๆ โดยในปีนี้จะมีเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ ผู้ช่วยทูตฝ่ายการพาณิชย์ และผู้ช่วยทูตฝ่ายการลงทุน (BOI) จากทั่วโลกเดินทางมาเข้าร่วมรับมอบนโยบายจากนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงหารือกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาคเอกชน และภาควิชาการ ในโอกาสนี้ด้วย
ขณะเดียวกัน จะมีการหารือเกี่ยวกับประเด็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญของรัฐบาล เช่น การค้าการลงทุน การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว สิ่งแวดล้อม เป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน โครงการแลนด์บริจด์ ซอฟต์พาวเวอร์ และการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งโดย สรุปกิจกรรมสำคัญ จะประกอบด้วย
* การรับมอบนโยบายรัฐบาลสำคัญ “การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก” จากนายกรัฐมนตรี
* การรับมอบนโยบายการต่างประเทศจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
* การประชุมกับผู้ช่วยทูตฝ่ายพาณิชย์ (กระทรวงพาณิชย์) และผู้ช่วยทูตฝ่ายการลงทุน (BOI) เพื่อร่วมกันกำหนดประเทศเป้าหมายสำคัญสำหรับขับเคลื่อนการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก
* การประชุมกับผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดน เพื่อหารือโอกาสในการส่งเสริมความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน
สำหรับหัวข้อประเด็นหลักของการประชุม นับตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 24 พ.ย. 2566 ประกอบด้วย
20 พ.ย.
* พิธีเปิดการประชุมโดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
21 พ.ย.
* สถานการณ์ในเมียนมา การช่วยเหลือคนไทยในเล้าก์ก่าย
* การส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์และซอฟต์พาวเวอร์ของไทยในจีนตอนใต้
* สถานการณ์ในอิสราเอล-กาซา และการอพยพคนไทย
* ปาฐกถาหัวข้อศักยภาพ Soft Power ไทยสู่ตลาดโลก
* ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ
* ครบรอบ 10 ปีไทยทาวน์ซิดนีย์ ความสำเร็จของการส่งเสริม Soft Power ผ่านชุมชนไทย
* นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายต่อเอกอัคคราชทูต กงสุลใหญ่ ผู้ช่วยทูตฝ่ายพาณิชย์ และฝ่ายการลงทุน
* ปิดท้ายด้วยการประชุมระดมสมองหัวข้อ "การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก:ความท้าทายและโอกาสทางเศรษฐกิจในโลกแบ่งขั้ว
22 พ.ย.
* การฟื้นฟูตลาดซาอุดีอาระเบีย
* การรุกตลาดใหม่ในแอฟริกา
* ความเชื่อมโยง และความร่วมมือในการพัฒนาในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
* การหารือระหว่างเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ กับผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดน
* โอกาสของอุตสาหกรรมบันเทิงไทยในเม็กซิโกและเปรู
23 พ.ย.
* การนำเสนอประเทศเป้าหมายสำคัญสำหรับการทูตเศรษฐกิจเชิงรุกต่อนายกรัฐมนตรี โดยกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)
24 พ.ย.
* พิธีปิดการประชุม
ทั้งนี้ นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลกครั้งนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี โดยครั้งล่าสุดก่อนหน้านี้ คือการประชุมในปี 2559
นอกจากนั้น ในครั้งนี้ยังมีผู้ช่วยทูตฝ่ายพาณิชย์ (พณ.) และผู้ช่วยทูตฝ่ายการลงทุน (BOI) เข้าร่วมประชุมด้วย เพื่อร่วมกันระดมสมองว่าจะขับเคลื่อนนโยบายอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ และประเทศใดมีความสำคัญสำหรับประโยชน์ของประเทศไทยหลังยุคโควิด และท่ามกลางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่แบ่งขั้วกันมากขึ้น อะไรคือจุดแข็งของไทยที่จะพาประเทศไปสู่จุดหมาย และให้การทูตตอบโจทย์ของประเทศและความต้องการของประชาชน
"เราต้องตอบโจทย์ความคาดหวังของประชาชนให้ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องช่วยเหลือประชาชนให้ได้ เห็นตัวอย่างได้ชัดจากสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นและกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือประชาชนคนไทย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่นที่ซูดาน อิสราเอล และเมียนมา" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าว
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2566