กลยุทธ์นำเสนอการขายรถยนต์ BYD ที่หลากหลาย และราคาที่ต่ำกว่า ส่งผลยอดขายแซงหน้าเทสลาไปเมื่อปลายปี 2566 และนี่เป็นรถยนต์บีวายดี 5 รุ่น ขายดีที่สุด

 

Key points : 

* รถยนต์ส่วนใหญ่เกือบทุกรุ่นของบีวายดีมีราคาจำหน่ายที่ถูกกว่าเทสลา และยังมีเวอร์ชันไฮบริดเป็นอีกทางเลือกให้ลูกค้า

* นี่เป็นรถรุ่นเดียวของบีวายดี มียอดขายสูงกว่าโมเดล Y ของเทสลาในจีน เกือบ 400 คัน

* เทคโลยีแบตเตอรี่เบลด ได้ช่วยกระตุ้นรถยนต์ไฟฟ้าเรือธงคันแรกของบีวายดี ให้ได้รับความนิยมยิ่งขึ้น

 

แม้ว่าโมเดล Y ของเทสลา ซึ่งใช้พลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้า จะเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุดในประเทศจีน ในช่วง 6 เดือนปีที่แล้ว (มิ.ย.-พ.ย.) ขณะที่รถยนต์บีวายดี (BYD) เป็น 4 ใน 10 อันดับแรกของรถยนต์ประเภทเดียวกันที่ขายดีในช่วงเวลานั้น แต่เมื่อพูดถึงรถยนต์ไฮบริดแล้ว บีวายดียังเป็น 7 ใน 10 อันดับแรกที่ขายดีที่สุด

เว็บไซต์ซีเอ็นบีซีรายงานตามข้อมูลสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของจีน (China Passenger Car Association) ซึ่งต่อไปนี้เป็นรถยนต์พลังงานใหม่ของบีวายดี ที่ขายดีที่สุด 5 อันดับแรกในจีน

 

(1)รุ่น ฉินพลัส (Qin Plus)

 

ฉินพลัสเป็นรุ่นขายดีที่สุดของบีวายดี ซึ่งติดอันดับสูงสุดในกลุ่มรถยนต์พลังงานใหม่ในประเทศจีน ที่สำคัญรุ่นฉินพลัส มียอดขายสูงกว่าโมเดล Y ของเทสลาในจีน เกือบ 400 คัน ในช่วง 6 เดือนปีที่แล้ว (มิ.ย. - พ.ย.)   

 

 

รถยนต์รุ่นนี้มีขนาดกะทัดรัด มาในรูปแบบพลังงานไฮบริดและแบตเตอรี่ไฟฟ้า ซึ่งส่วนหนึ่งพัฒนามาจากรถซีรีส์รุ่นเก่าของบีวายดี ตั้งชื่อตามราชวงศ์จีน "ฉินซีฮวง" ฮ่องเต้องค์แรกของจีน ที่รวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียว และโลกยังรู้จักสุสานกองทัพทหารดินเผา

 

รถรุ่นฉินพลัส สนนราคาที่ 13,942 - 24,700 ดอลลาร์ หากชาร์จ 1 ครั้ง มีระยะทางขับขี่ได้ 420 - 610 กม. เมื่อเปรียบเทียบความคุ้มค่าในราคาและระยะทางขับขี่ของรถโมเดล Y หากชาร์จแบตหนึ่งครั้ง วิ่งได้ระยะทาง 532 กม. - 688 กม. โดยปัจจุบันราคาจำหน่าย อยู่ที่ 37,217 - 50,838 ดอลลาร์ ในประเทศจีน

 

(2)ซีกัล (Seagull)

 

รุ่นซีกัลเป็นรถแฮทช์แบ็ก และใช้แบตเตอรีอย่างเดียวในราคาประหยัด  ซึ่งบีวายดีเปิดตัวไปไม่ถึงปี หรือในช่วงฤดูใบผลิปีที่แล้ว มีให้เลือกสีเหลืองนีออน เขียวพีช สีดำ และสีขาว

ซีกัลราคาเริ่มต้น อยู่ที่ 10,310 - 12,545 ดอลลาร์ ชาร์จแบตหนึ่งครั้ง วิ่งได้ระยะทาง 305 - 405 กม.

 

 

(3)ซองพลัส เอ็นอีวี (Song Plus NEV)

 

อันดับสามในบรรดารถยนต์บีวายดี ที่ขายดีคือ ซองพลัส เอ็นอีวี ซึ่งเป็นรถประเภทเอสยูวี ขนาดกะทัดรัด มาในรูปไฮบริดและรุ่นที่ใช้แบตเตอรี่เท่านั้น โดยราคาไม่แรง ถ้าเทียบกับรถยนต์ประเภทเดียวกันนของยี่ห้ออื่น ซึ่งรุ่นซองพลัส เอ็นอีวีมีราคาเริ่มต้นที่ 22,325 - 29,310 ดอลลาร์

 

 

(4)หยวนพลัส (Yuan Plus)

 

รถเอสยูวีอีกรุ่นของบีวายดีที่ขายดี นั่นคือ หยวนพลัส มีขนาดกะทัดรัดที่ใช้แบตเตอรี่เท่านั้น โดยในช่วง 6 เดือนก่อนสิ้นสุดในเดือน พ.ย. พยวนพลัสมียอดขายมากกว่าไอออน วาย พลัสของ GAC เกือบ 17,000 คัน ส่วนราคาเริ่มต้นที่ 18,972 - 22,883 ดอลลาร์ วิ่งได้ในระยะทาง 430 - 510 กม.

 

 

 

(5)ดอลฟิน (Dolphin)

 

รถยนต์ไฟฟ้าบีวายดี รุ่นดอลฟิน เป็นรถขนาดเล็ก และเป็นรถเจาะแมสมาร์เก็ต มาพร้อมกับการพัฒนาให้เป็นแบตเตอรี่เบลด (Blad battery) มีราคาอยู่ที่ 16,317 - 19,530 ดอลลาร์ วิ่งได้ประมาณ 401 - 420 กม.

 

 

หมุดหมายใหม่ บีวายดี :

 

ก่อนหน้านี้ บีวายดีเปิดเผยว่า บริษัทสามารถจำหน่ายรถยนต์ได้ทั่วโลกทั้งหมดในปี2566 รวม 3.02 ล้านคัน โดยเป็นรถยนต์อีวีล้วน 1.6 ล้านคัน และไฮบริด 1.4 ล้านคัน ซึ่งถือเป็นหมุดหมายใหม่สำหรับบีวายดี ส่วนค่ายเทสลานั้นยังไม่มีการเปิดเผยทอดขายตลอดทั้งปี 2566 แต่ในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทรายงานยอดขายรวมกันอยู่ที่ประมาณ 1.35 ล้านคัน 

รายงานระบุว่า รถยนต์ส่วนใหญ่เกือบทุกรุ่นของบีวายดีมีราคาจำหน่ายที่ถูกกว่าเทสลา และยังมีเวอร์ชันไฮบริดเป็นอีกทางเลือกให้ลูกค้า ขณะที่เทสลามีประเทศจีนเป็นตลาดที่สำคัญ โดยคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 5 ของยอดขายทั้งหมดทั่วโลกของเทสลา

 

 

แบตเตอรี่เบลด กระตุ้นความนิยม :

 

แน่นอนว่า เทคโลยีแบตเตอรีเบลด ได้ช่วยกระตุ้นรถรุ่นฮันซีดาน (Han Sedan) ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเรือธงคันแรกของบีวายดี ให้ได้รับความนิยม

 

รุ่นฮันซีดาน มีราคาแพงกว่ารถรุ่นเฉพาะแบตเตอรี่ของบีวายดี มีราคาเริ่มต้นที่ 29,310 ดอลลาร์ ขณะที่รุ่นอื่นๆ มีราคาถูกกว่า นอกจานี้ปีที่แล้ว บีวายดี ยังได้เปิดตัวหย่างว่าง ยู8 (Yangwang U8) เป็นรถเอสยูวีระดับพรีเมียม บุกตลาดระดับไฮเอนด์ มีราคาเริ่มต้นที่กว่า 140,090 ดอลลาร์

 

อย่างไรก็ตาม สตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน อย่างนีโอ และเสี่ยวเผิง ทั้งคู่ต่างบอกว่า กำลังวางแผนเปิดตัวรถยนต์อีวี บุกแมสมาร์ตในในปลายปีนี้ หวังตามรอยแบรนด์จีนรุ่นพี่อย่างบีวายดี ชิงส่วนแบ่งตลาดรถอีวีในจีน และทั่วโลก

 

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ

วันที่ 7 มกราคม 2567