การประชุมเวิลด์ อิโคโนมิค ฟอรัม ประจำปี 2024 หรือ WEF 2024 เริ่มขึ้นวันนี้ (15 ม.ค.) และจะมีไปตลอดทั้งสัปดาห์ ที่เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส หัวข้อสำคัญและผู้เข้าร่วมประชุมมีใครบ้างนั้น เราประมวลไว้ให้ที่นี่แล้ว

 

การประชุมประจำปีของ “เวิลด์ อิโคโนมิค ฟอรั่ม” (World Economic Forum) ปี 2024 หรือ WEF 2024 มีขึ้นที่ เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส ระหว่างวันที่ 15-19 มกราคม 2567 ปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 54 ภายใต้หัวข้อ “ฟื้นฟูความเชื่อมั่น” (Rebuilding Trust) ซึ่งตลอดช่วงสัปดาห์จัดงานจะมีการประชุมสัมมนาหัวข้อต่างๆ กว่า 200 หัวข้อ มีการถ่ายทอดสดให้ผู้สนใจทั่วโลกสามารถรับชม

 

 

เว็บไซต์ทางการของ WEF ระบุว่า ปีนี้จะมีตัวแทนรัฐบาลจากกว่า 100 ประเทศเข้าร่วมงาน รวมทั้งคณะของนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ของไทย ตลอดจนผู้แทนจากองค์กรชั้นนำระหว่างประเทศ และผู้บริหารบริษัทเอกชนที่เป็นพันธมิตรจาก 1,000 บริษัท นอกจากนี้ ยังมีผู้นำทางสังคม ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ นักเคลื่อนไหวทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ผู้ที่สร้างการเปลี่ยนแปลง ผู้ประกอบการและสื่อมวลชน รวมผู้ร่วมงานจำนวนราว 2,500 คน

 

นายกฯ บินดาวอส ร่วมเวิลด์อีโคโนมิกฟอรัม 15-19 ม.ค. ประกาศศักยภาพเศรษฐกิจไทย

 

ฟื้นฟูความเชื่อมั่นท่ามกลางวิกฤตโลก

การประชุมปี 2024 นี้ จะจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “ฟื้นฟูความเชื่อมั่น” (Rebuilding Trust) ประกอบด้วย 4 ประเด็นหลัก ได้แก่

 

1)การบรรลุความร่วมมือและความมั่นคงในโลกที่แตกแยก (Achieving Security and Cooperation in a Fractured World)

 

2)การสร้างการเติบโตและสร้างงานสำหรับยุคใหม่ (Creating Growth and Jobs for a New Era)

 

3)ปัญญาประดิษฐ์ในฐานะพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคม (Artificial Intelligence as a Driving Force for the Economy and Society)

 

4)ยุทธศาสตร์ระยะยาวสำหรับสภาพภูมิอากาศ ธรรมชาติ และพลังงาน (A Long-Term Strategy for Climate, Nature and Energy)

 

ผู้นำโลกที่เข้าร่วม WEF 2024 :

 

เว็บไซต์ของ WEF ระบุว่า ปีที่แล้วเป็นปีที่โลกต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตที่ถาโถมเข้ามาพร้อมๆกัน แบบที่เรียกว่า “วิกฤตซ้อนวิกฤต” (polycrisis) แต่มาปีนี้ บางวิกฤตของปีที่แล้วก็ยังคงอยู่ ขณะที่วิกฤตใหม่เกิดขึ้นก็มี ดังนั้น ปี 2024 จะเป็นปีแห่ง permacrisis หรือวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและคงทน ไม่อาจยุติได้โดยง่าย หรือไม่นั้น เป็นประเด็นที่บรรดาผู้นำโลกจะต้องมาหารือกัน

 

สำหรับผู้ร่วมประชุมระดับผู้นำรัฐบาลในปีนี้ มีมากกว่า 60 ประเทศ อาทิ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน นายเอ็มมานูเอล มาครง นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส นางเออร์ซูลา ฟอน เดอ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) นายฆาบิเอร์ มิเลย์ ประธานาธิบดีอาร์เจนตินา นายฮัน ดัค-ซู นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ นายเปโดน ซานเชส นายกรัฐมนตรีสเปน นางวิโอลา อัมแฮร์ท ประธานาธิบดีแห่งสมาพันธรัฐสวิส นายโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน นายอเล็กซานเดอร์ เดอ ครู นายกรัฐมนตรีเบลเยี่ยม นายนาจิบ มิคาติ ประธานาธิบดีเลบานอน นายโมฮัมเหม็ด ชา อัล ซูดานี นายกรัฐมนตรีอิรัก เชคมุฮัมมัด บิน อับดุรเราะฮ์มาน บิน ญาสซิม อาล ษานี นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศการ์ตา และ ฯลฯ  

 

ส่วนผู้นำรัฐบาลจากชาติสมาชิกอาเซียนนั้น นอกจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลังของไทยแล้ว ยังมีนายทาร์แมน แชนมูการัตนัม ประธานาธิบดีสิงคโปร์ และนาย ฝั่ม มิญ จิ๊ญ นายกรัฐมนตรีเวียดนาม เข้าร่วมงานครั้งนี้

 

ขณะที่สหรัฐอเมริกา ส่งนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ เข้าร่วม

 

นอกจากนี้ ยังมีนายอันโตนิโอ กุเตอเรส เลขาธิการสหประชาชาติ นางคริสตาลินา กอร์เกียวา กรรมการจัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) นายอาเจย์ บังกา ประธานธนาคารโลก ดร.เอ็นโกซี โอคอนโจ-อิเวียลา ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการค้าโลก (WTO) นายเยนส์ สโตลเตนเบิร์ก เลขาธิการนาโต (องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ) นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) และนายอาคิม สไตเนอร์ ผู้บริหารสูงสุดประจำโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP)  

 

ขณะที่ตัวแทนองค์กรธุรกิจภาคเอกชน คาดว่าจะเข้าร่วมงาน WEF 2024 ประมาณ 1,600 คน โดยเป็นซีอีโอองค์กรระดับโลกกว่า 800 คน นอกจากนี้ ยังมีผู้เข้าร่วมประชุมและสัมมนาที่เป็นบุคคลระดับ “ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมโลก” ผู้บุกเบิกด้านเทคโนโลยี และบริษัทยูนิคอร์น (ธุรกิจเอกชนที่มีมูลค่ากิจการมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์) ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับภาคอุตสาหกรรมต่างๆ จำนวนมากกว่า 150 คน รวมทั้งนายจิรายุส "ท๊อป" ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชนและตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ที่เข้าร่วมงาน WEF เป็นปีที่สามแล้ว

 

ที่มา ฐานเศรษฐกิจ

วันที่ 15 มกราคม 2567