ไทม์ไลน์ ยกเว้นวีซ่าไทย-จีน ถาวร กระชับสัมพันธ์ 50 ปี
ทำเนียบรัฐบาล หัวบันไดไม่แห้ง โดยจะมี "แขกคนสำคัญ" อย่าง "หวัง อี้" รัฐมนตรีต่างประเทศจีน มาเยือนตึกไทยคู่ฟ้าอย่างเป็นทางการ ระหว่าง 26-29 มกราคม 2567 โดยมีไฮไลท์ การลงนาม ยกเว้นวีซ่า-ไทย ถาวร
“หวัง อี้” ที่สวมหมวก สมาชิกกรมการเมือง-ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีกำหนดเดินทางเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล-กระทรวงการต่างประเทศ
วัตถุประสงค์ในการเดินทางเยือนไทยของ "หวัง อี้" ในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ อาทิ การค้า การลงทุน ความมั่นคง วัฒนธรรม การท่องเที่ยว และแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศที่อยู่ในความสนใจร่วมกัน ก่อนถึงวาระความสัมพันธ์ไทย - จีนที่จะครบรอบ 50 ปีในปี 2568
กำหนดการการเยือนไทยของนายหวัง อี้ ได้แก่ การเข้าเยี่ยมคารวะนายเศรษฐา ที่ทำเนียบรัฐบาล การเป็นประธานร่วมกับนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในการประชุมกลไกการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย - จีน ครั้งที่ 1 ที่กระทรวงการต่างประเทศ
ไฮไลท์สำคัญ คือ การลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกันสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ โดยความตกลงดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป
สำหรับ "ไทม์ไลน์" การยกเว้นวีซ่าจากชั่วคราวเป็น "กรณีพิเศษ" เป็น แบบ "ถาวร" ให้กับนักท่องเที่ยวไทย-จีน ดังนี้
* วันที่ 11 กันยายน 2566 ครม.แถลงนโยบายต่อรัฐสภา สนับสนุนเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมการเดินทางเข้าราชอาณาจักของนักท่องเที่ยว
* วันที่ 13 กันยายน 2566 การประชุมครม.ครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ภายหลังจากรัฐบาลแถลงนโยบาย มีมติอนุมัติยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติจีนและสัญชาติคาซัคสถาน เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567
ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวจีนเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของไทย ซึ่งก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปี 2561 มีนักท่องเที่ยวจีนกว่า 10 ล้านคน
“อย่างไรก็ดี ในปี 2566 แม้สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลงมากและเป็นโรคประจำถิ่นแล้ว นักท่องเที่ยวจีนยังต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ที่ 4.3 ล้านคน (