"ปานปรีย์" ย้ำบนเวทีเยอรมนี มุ่งผลักดัน FTA ไทย-อียูให้สำเร็จภายในปี 68
รองนายกฯ "ปานปรีย์" ยินดีที่ความสัมพันธ์ไทย-เยอรมนีมีพัฒนาการรุดหน้า เผยไทยมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับเยอรมนีใน 3 สาขาหลัก และหวังผลักดันการจัดทำ FTA ไทย-อียูให้สำเร็จภายในปี 2568
ระหว่างการปฏิบัติ ภารกิจเยือนประเทศเยอรมนี ระหว่างวันที่ 21-25 ก.พ. 2567 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมกล่าวปาฐกถาในงาน OAV Stiftungsfest ครั้งที่ 123 จัดโดยสมาคมเอเชียตะวันออกนครเบรเมิน (OAV Bremen) ณ ศาลาว่าการนครเบรเมิน นครเบรเมิน เมื่อวันที่ 23 ก.พ. ระบุว่า ยินดีที่ ความสัมพันธ์ไทย-เยอรมนี มีพัฒนาการอย่างมากในห้วงปีนี้ โดยเห็นได้จากการเยือนประเทศไทยของประธานาธิบดีเยอรมนีในเดือนมกราคมที่ผ่านมา และกำหนดการเยือนเยอรมนีอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้
รองนายกฯ เน้นย้ำความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความร่วมมือระหว่างไทยกับเยอรมนีใน 3 สาขาหลัก ได้แก่
(1)ความร่วมมือเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เพื่อสานต่อคำกล่าวของประธานาธิบดีเยอรมนีในห้วงการเยือนประเทศไทยว่า เยอรมนีและไทยกำลังจะเข้าสู่ยุคใหม่ของความร่วมมือเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน โดยย้ำเป้าหมายของไทยที่จะเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของภูมิภาค
(2)ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ โดยไทยจะมุ่งผลักดันการจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย-อียูให้สำเร็จภายในปีพ.ศ.2568
(3)ความร่วมมือเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทั้งด้านการศึกษาและด้านธุรกิจ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสองประเทศ
ทั้งนี้ รัฐบาลได้เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบาย “การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก” ผลักดันการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการส่งออกสินค้าไทยสู่ตลาดโลก พัฒนาศักยภาพทางเศรษฐกิจ และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
โดยล่าสุด จากการประชุมเจรจา FTA ไทย-อียู รอบสองเมื่อวันที่ 22-26 ม.ค. 2567 ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับการแปลกเปลี่ยนมุมมองและข้อเสนอต่างๆ ด้านการค้าและการลงทุน พร้อมสร้างความเข้าใจในการร่วมกันยกระดับไปสู่หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจในอนาคตให้มากขึ้น โดยการประชุมเจรจา FTA ไทย-อียู รอบสามในช่วงเดือนมิ.ย. 2567 ทางอียูจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุม เพื่อหารือประเด็นต่างๆ เพิ่มเติม รัฐบาลตั้งเป้าให้การเจรจา FTA สามารถบรรลุข้อสรุปได้ภายในปีหน้า (2568)
สำหรับ OAV Bremen นั้น เป็นสมาคมของนักธุรกิจนครเบรเมิน ซึ่งมุ่งสร้างสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับภูมิภาคเอเชีย โดยมีการจัดงาน OAV Stiftungsfest เป็นประจำทุกปี และปีนี้จัดเป็นครั้งที่ 123 มีประเทศไทยเป็น Focus Country มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 350 คน
กระชับความร่วมมือ-เสริมสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน :
สำหรับภารกิจด้านการต่างประเทศของรองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ ระหว่างเดินทางเยือนกรุงเบอร์ลิน และนครเบรเมิน เยอรมนี ครั้งนี้ เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 2567 รองนายกฯ ได้มอบนโยบายให้ทีมประเทศไทยในเยอรมนี และร่วมงานเสวนาของมูลนิธิการเมือง Konrad Adenauer Stiftung (KAS) ที่จัดร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน โดยกล่าวเปิดงานเสวนาในหัวข้อ “Thailand and Germany: Perspectives and Opportunities in the Indo-Pacific” ซึ่งเป็นการส่งเสริมบทบาทด้านการต่างประเทศของไทย โดยเฉพาะด้านความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
จากนั้น ในวันที่ 23 ก.พ. รองนายกฯ จึงได้เข้าร่วมกิจกรรมเฉลิมฉลองการก่อตั้งสมาคมเอเชียตะวันออกนครเบรเมิน (Ostasiatischer Verein Bremen: OAV Bremen) หรือ OAV Stiftungfest ดังกล่าวข้างต้น งานนี้เป็นการสร้างเสริมความเชื่อมั่นเกี่ยวกับประเทศไทยให้ภาคธุรกิจเยอรมนีในรัฐเบรเมิน โดยเฉพาะด้านยานยนต์ โลจิสติกส์ และการเดินเรือ
นอกจากนี้ ยังเยี่ยมชมโรงงาน Mercedes-Benz ณ นครเบรเมิน ซึ่งเป็นฐานการผลิตหลักของรถยนต์รุ่น C-Class ของโลก เป็นแหล่งผลิตรถยนต์ชนิด Plug-in Hybrid และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ตั้งแต่ปี ค.ศ.2019
รองนายกรัฐมนตรีฯ เยี่ยมชมโรงงานประกอบรถยนต์ (assembling shop) เรียนรู้ขั้นตอนการประกอบรถยนต์ การตรวจสอบคุณภาพ และระบบการทำงานในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพ ก่อนรับฟังการบรรยายเกี่ยวกับภาพรวมและยุทธศาสตร์ของ Mercedes Benz โดยเฉพาะมุมมองต่อประเด็น EV และความยั่งยืน ย้ำความมุ่งมั่นของไทยที่จะผลักดันการใช้รถยนต์ EV และพร้อมผลักดันการลงทุนของ Mercedes-Benz ในไทย
รองนายกรัฐมนตรีฯ ได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับนายมิชาเอล ฟรีซ ผู้บริหารของ Mercedes Benz เบรเมิน แสดงความเห็นพ้องต่อความสำคัญในการใช้พลังงานสะอาด รวมถึงชื่นชมการทำงานและเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต ในโอกาสนี้ รองนายกรัฐมนตรีฯ ย้ำความมุ่งมั่นของไทยที่จะผลักดันการใช้รถยนต์ EV และพร้อมผลักดันการลงทุนของ Mercedes-Benz ในไทย ทั้งในการผลิตและ recycle แบตเตอรี่รถยนต์ รวมถึงการนำเทคโนโลยีใหม่อย่างการขับขี่อัจฉริยะมาประยุกต์ใช้ต่อไป
การเยือนเยอรมนีในครั้งนี้ เป็นการสานต่อการเยือนไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีเยอรมนี เมื่อวันที่ 24-25 ม.ค.2567 และเตรียมการสำหรับการเยือนเยอรมนีอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีซึ่งมีกำหนดในช่วงเดือนมีนาคมนี้
เดินหน้าเจรจาความร่วมมือไทย – อินเดีย 26-28 ก.พ.
หลังกลับจากภารกิจเยือนเยอรมนีครั้งนี้แล้ว รองนายกรัฐมนตรีฯ มีกำหนดเดินทางต่อไปยังประเทศอินเดียระหว่างวันที่ 26-28 ก.พ.เพื่อเป็นประธาน การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย – อินเดีย ครั้งที่ 10 (The 10th Meeting of India-Thailand Joint Commission for Bilateral Cooperation: JC) ร่วมกับ ดร. สุพรหมณยัม ชัยศังกระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย ในวันที่ 27 ก.พ.2567 ที่กรุงนิวเดลี หลังจากที่มีการประชุม JC ไทย – อินเดีย ครั้งที่ 9 ไปเมื่อเดือนส.ค.2565
การประชุมครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีไทย – อินเดียให้มีความใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการผลักดันการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง การส่งเสริมการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก การส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างกัน และการแลกเปลี่ยนระดับประชาชน อีกทั้งยังเป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนมุมมอง ระหว่างประเทศและสถานการณ์ในภูมิภาคที่อยู่ในความสนใจร่วมกันด้วย
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2567