เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยที่ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล ว่า กระทรวงพาณิชย์ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ร่วมกับสำนักงานการค้าต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ว่าด้วยการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัน

 

โดยมี ดร. มาญิด บิน อับดุลเลาะฮ์ อัลกอเศาะบี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย ในฐานะแขกกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ 8–10 พฤษภาคม โดยหารือร่วมกัน ได้จัดทำโรดแมพ ซึ่งซาอุฯ ให้ความสำคัญกับบริการทางการแพทย์ การท่องเที่ยว และอาหารไทย การเดินทางเยือนครั้งนี้ถือเป็นครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า โดยซาอุฯ ได้นำภาคเอกชนกว่า 90 บริษัทมาเพื่อเจรจาจับคู่ธุรกิจด้วย ในภาคธุรกิจสำคัญ อาทิ เกษตร อาหารและเครื่องดื่ม ยานยนต์และชิ้นส่วน อสังหาริมทรัพย์ เภสัชกรรม สุขภาพและบริการทางการแพทย์ การก่อสร้าง เทคโนโลยี การท่องเที่ยวและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง

 

 

นายภูมิธรรมกล่าวว่า ซาอุฯ เป็นคู่ค้าอันดับที่ 17 ของไทย และอันดับที่ 2 ในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยในปี 2566 การค้าระหว่างกันมีมูลค่า 8,796.44 ล้านเหรียญสหรัฐ (305,738.80 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วนการค้า 1.53% ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก โดยไทยส่งออกไปซาอุดีอาระเบีย 2,667.68 ล้านเหรียญสหรัฐ (92,076.43 ล้านบาท) และไทยนำเข้าจากซาอุฯ 6,128.76 ล้านเหรียญสหรัฐ (213,662.37 ล้านบาท) สินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์ยาง โดยเห็นการสนับสนุนข้าวไทยจากซาอุฯ มาโดยตลาดถือเป็นตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง เป็นอันดับ 5 ของตลาดส่งออกข้าวไทยในตะวันออกกลาง แต่ละปีไทยส่งออกข้าวไปซาอุดีอาระเบีย ประมาณ 15,000 – 30,000 ตัน และไทยมีข้าวชนิดที่มีค่าดัชนีน้ำตาล ต่ำ เหมาะสำหรับคนรักษาสุขภาพ

 

 

ต่อมาดร. มาญิด บิน อับดุลเลาะฮ์ อัลกอเศาะบีเข้าเยี่ยมคารวะนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยนายเศรษฐาระบุว่า นับตั้งแต่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยและซาอุดีฯ ได้ผลักดันความร่วมมือด้านต่าง ๆ จนมีผลคืบหน้าเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ยังมีความร่วมมือด้านต่าง ๆ ที่มีศักยภาพอีกมากที่จะร่วมมือกัน เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันทั้งสองประเทศ

 

ที่มา มติชนออนไลน์

วันที่ 10 พฤษภาคม 2567