ผยง เดินหน้าสู่ศก.ดิจิทัล ชี้อนาคตมีความท้าทายรออยู่หนักหนาสาหัส
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า การพัฒนาให้ประเทศไทยก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้นั้น เราจะต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งส่วนนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญ โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีนโยบายในการเปิดสาขาของธนาคารคือ หากต้องการเปิดสาขาในเมืองใหม่ ก็ต้องเปิดสาขาในพื้นที่ห่างไกลเพิ่มด้วย ทำให้ที่ผ่านมาการบริหารของธนาคารกรุงไทย มีการเปิดสาขาใหม่ในพื้นที่ห่างไกลควบคู่ด้วยตลอด
เนื่องจากแม้ปัจจุบันจะมีการใช้ช่องทางออนไลน์ในการทำธุรกรรมการเงิน แต่ก็ยังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถเข้าถึง ทำให้การทำธุรกรรมผ่านสาขายังมีความจำเป็นอยู่ แต่การที่ยังมีจำนวนสาขาเยอะ ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ได้ลดสาขา แต่ก็ยังมีจำนวนมากอยู่ มีตู้เอทีเอ็มตามภูมิศาสตร์ของพื้นที่นั้นๆ สามารถเข้าถึงการเงินในรูปแบบเก่า คู่ขนานไปกับเทคโนโลยีด้านการเงินใหม่ๆ เป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐ จิตสำนึกมีการพัฒนาขับเคลื่อนพัฒนาองค์กรของเราตลอด
นายผยง กล่าวว่า ที่ผ่านมาเรามีการปฏิรูปองค์กรของเราอยู่ตลอดเวลา อยู่บนรากฐานการมีธรรมภิบาล และพัฒนาในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ อาทิ ในช่วงโควิด-19 ธนาคารกรุงไทยมีการปล่อยเงินกู้ให้ทั้งรายย่อยและเอสเอ็มอี เป็นการปล่อยแบบกระจายไปตามสาขา อนุมัติผ่านการพิจารณาของทางสาขา แต่ต่อมามีการประเมินผ่านฐานข้อมูลเพื่อใช้อนุมัติมากขึ้น ทำให้สินเชื่อมีคุณภาพมากขึ้นตาม ก่อนที่ตั้งแต่หลังโควิดเรามีการพิจารณาตัวเอง เพื่อบริหารความเสี่ยงและเรียนรู้วิธีการติดตามสินเชื่อ เพื่อดูแลหนี้เสียมากขึ้น ส่วนในเรื่องการบริหารคนก็ทำในหลายเรื่อง ยึดพนักงานเป็นหลัก จับจังหวะของการปฏิรูปเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทการแข่งขัน สังคม และสังคมสูงวัย ซึ่งธนาคารกรุงไทยมีพนักงานเข้าสู่ช่วงสูงวัยเร็วกว่าธนาคารอื่น เนื่องจากไม่ได้ปรับเปลี่ยนในช่วงที่ผ่านมา แต่มีข้อตกลงกันว่า หากพนักงานที่มีอายุมากขึ้นจะเดินไปกับธนาคารต่อ จะต้องมี 3 ข้อคือ 1.ต้องสามารถยอมย้ายสาขาพื้นที่ได้ 2.ข้ามสายงาน และ 3.รีสกิล หากทำได้ก็พร้อมเดินหน้าไปด้วยกันต่อ เพราะเราไม่ได้ต้องการพัฒนาองค์กรแต่เพิ่มปัญหาอื่นให้สังคม
“โลกในปัจจุบันมีแนวคิดในเรื่องโอเพิ่ลไฟแนนซ์เกิดขึ้น สะท้อนถึงการเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น ธนาคารกรุงไทยจึงตัดสินใจทำระบบปิดและเปิดพร้อมกัน พัฒนาขึ้นมาเพราะเชื่อว่าแพลตฟอร์มจะตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากขึ้น ด้วยนวัตกรรมและความคิดนอกกรอบ จะทำให้กลุ่มคนรุ่นใหม่เข้ามามากขึ้นได้ ไม่ใช่เพียงระบบราชการ หรือตอบโจทย์กลุ่มคนต่างจังหวัดเท่านั้น เมื่อโลกถูกนวัตกรรมเข้ามาวิวัฒนาการ ทำให้ธนาคารจะฝังเข้าไปอยู่ในพฤติกรรมตามปัจจัย 4 ของคนในการดำเนินชีวิต อาทิ การเดินทางผ่านแอพพร้อมจ่ายเงินได้ทันที ในอนาคตจะมีการซื้อบ้านแบบไม่ต้องเข้าไปทำสัญญาผ่านธนาคาร แต่สามารถทำได้ผ่านช่องทางออนไลน์“ นายผยง กล่าว
นายผยง กล่าวว่า การพัฒนาช่องทางออนไลน์ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ต้องยอมรับว่าเราอย่าฝันเฟื่อง ว่าจะโตด้วยตัวของเราเองได้ เพราะเราต้องการการช่วยเหลือในการพัฒนาเทคโนโลยี และบุคลากรในการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อก้าวเข้าสู่ธุรกิจใหม่ และเศรษฐกิจดิจิทัล แต่ไม่สามารถทิ้งช่องทางเดิมได้ เพราะมีลูกค้าที่ไม่อยู่ในช่องทางออนไลน์ 7 ล้านคน แต่คนที่อยู่บนออนไลน์มึอยู่กว่า 35 ล้านคน วันนี้เราได้ใช้กลไกเทคโนโลยีเปลี่ยนผ่านจากการเป็นธนาคารตามต่างจังหวัด ขึ้นมาเป็นธนาคารเพื่อคนไทยอย่างแท้จริงผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามาพัฒนาแพลตฟอร์มตอบโจทย์การใช้บริการและใช้ชีวิตมากขึ้น
นายผยง กล่าวว่า ความท้าทายในอนาคต ต้องยอมรับว่าหนักหนาสาหัส มีทั้งปัจจัยระดับโลก และปัจจัยในประเทศ ที่สำคัญสุดคือ ความเหลื่อมล้ำ ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจนอกระบบ ประเทศไทยมี 70 ล้านคนประชากร ยื่นภาษี 11 ล้านคน อยู่ในข่ายเสียภาษี 4 ล้านคน แต่คนต้องการสวัสดิการจากรัฐบาลมีกว่า 70 ล้านคน คำถามคือ จะเอาเงินที่ไหนไปช่วยเหลือคนเหล่านี้ และต้องหาเงินมาจากไหนเพื่อสนับสนุนทรัพยากรนอกระบบ ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลอยู่ดี โดยในช่วงที่เหลือของปี 2567 นี้ เราหวังว่ามาตรการช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ จะไม่ออกมาช้าจนเกินไป
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 13 สิงหาคม 2567