วิเทศวิถี : ความสำเร็จของการประชุม MLC ท่ามกลางพายุหมุนการเมืองไทย
สัปดาห์ที่ผ่านมา แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 ให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของ นายเศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดลงนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะต้องบอกว่ามันสวนทางกับข่าวคราวที่มีการพูดถึงกันก่อนหน้านี้แบบคนละเรื่อง แต่ยังโชคดีที่สถานการณ์วุ่นวายทางการเมืองทั้งหมดดูจะได้ข้อยุติอย่างรวดเร็ว
มาถึงสัปดาห์นี้ น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนใหม่ก็เข้าพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 อย่างเป็นทางการไปแล้ว และกำลังรอการประกาศคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้นในเร็ววัน เพื่อให้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และปฏิบัติหน้าที่ได้ทันการประชุมสภาฯเพื่อพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 วาระที่ 2-3 ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 4-6 กันยายนนี้
ในห้วงเวลาเดียวกับที่เกิดเหตุวุ่นวายในกรุงเทพ ที่จ.เชียงใหม่ ซึ่งกำลังจะมีการจัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (เอ็มแอลซี) ครั้งที่ 9 ในวันที่ 15-16 สิงหาคม ก็ปั่นป่วนไม่แพ้กัน จากเดิมที่อดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐามีกำหนดจะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์และให้รัฐมนตรีเอ็มแอลซีเข้าเยี่ยมคาราวะ กำหนดการทุกอย่างต้องมีการปรับเปลี่ยนทันที
ประเด็นสำคัญที่สุดคือการประชุมเอ็มแอลซีมีสมาชิกรวม 6 ชาติ โดยมีไทยและจีนเป็นประธานร่วมของการประชุม เมื่อสถานการณ์การเมืองไทยยังไม่ชัดเจน ทำให้ นางเอกสิริ ปิณฑะรุจิ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ต้องทำหน้าที่ประธานการประชุมร่วมกับ นายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศประจำพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีนแทน
ที่สุดแล้วต้องชื่นชมประเทศสมาชิกเอ็มแอลซีทั้งหมด โดยเฉพาะจีน ลาว กัมพูชา เมียนมา และเวียดนาม ที่ยังคงยืนยันว่าพร้อมที่จะเดินทางมาเข้าร่วมประชุมที่เชียงใหม่ตามกำหนดเดิม เพราะตระหนักดีว่าไทยได้เตรียมการประชุมทั้งหมดเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งเอกสารต่างๆ ที่เป็นผลลัพท์ของการประชุมก็ได้มีการหารือในระดับเจ้าหน้าที่เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นทุกประเทศตระหนักดีว่า ประเด็นความร่วมมือสำคัญที่จะมีการรับรองในที่ประชุมเอ็มเอลซีครั้งนี้ ก็เป็นประโยชน์กับภูมิภาค ตั้งแต่ความร่วมมือเพื่อจัดการกับปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดน ที่ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ออนไลน์สแกม เว็บพนัน การค้าอาวุธ ไปจนถึงยาเสพติด และความร่วมมือเพื่อจัดการกับปัญหาพีเอ็ม 2.5 ข้ามพรมแดนในภูมิภาค ซึ่งทั้งสองเรื่องดังกล่าวเป็นข้อริเริ่มของไทย ตลอดจนการกระชับความร่วมมือด้านทรัพยากรน้ำในแม่น้ำล้านช้าง-แม่โขง
เมื่อการประชุมดำเนินไปได้ตามปกติ และที่ประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศให้การรับรองเอกสารต่างๆ ที่เป็นผลลัพท์ของการประชุมแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของแต่ละประเทศจะได้เร่งดำเนินการเพื่อให้ความร่วมมือระหว่างชาติสมาชิกเอ็มแอลซีเพื่อให้จัดการกับประเด็นเร่งด่วนเหล่านี้เดินหน้าต่อไปได้ทันทีแบบไม่มีสะดุด สมกับธีมของการประชุมเอ็มแอลซี “สู่อนาคตร่วมของภูมิภาคแม่โขง-ล้านช้างที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นและยั่งยืน” หรือ “Towards the shared future of safer and sustainable Mekong-Lancang Region” ในครั้งนี้
บรรยากาศในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอ็มแอลซี ครั้งที่ 9 ก็เป็นไปอย่างดียิ่ง สิ่งที่อาจจะกระทบบ้างคือการหารือทวิภาคีของรัฐมนตรีต่างประเทศไทยที่มีกำหนดไว้แต่เดิม เนื่องจากสถานการณ์อันไม่แน่นอนในตอนต้น ทำให้ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตัดสินใจที่จะไม่เดินทางไปร่วมประชุม ซึ่งก็เป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะประเด็นสำคัญที่เป็นผลลัพธ์สำคัญของการประชุม อย่างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดนและความร่วมมือเพื่อจัดการแก้ไขปัญหาพีเอ็ม2.5 ก็มาจากข้อริเริ่มของนายมาริษทั้งสิ้น
ในระหว่างนั้นยังมีการประชุม 4 ฝ่ายเพื่อหารือกันเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมา ที่จัดขึ้นหลังการประชุมเอ็มแอลซี โดยมีรัฐมนตรีต่างประเทศจากประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมาอย่างจีน ไทย ลาว และเมียนมาเข้าร่วม ซึ่งเวทีดังกล่าวก็มาจากข้อริเริ่มของไทยเช่นกัน และเป็นการหารือของประเทศเพื่อนบ้านของเมียนมาขึ้นเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่จัดขึ้นมาแล้วก่อนหน้านี้ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศบิมสเทคอย่างไม่เป็นทางการที่อินเดียเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
เวทีดังกล่าวถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ท่ามกลางสถานการณ์ความวุ่นวายในเมียนมาที่ส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างเลี่ยงไม่พ้น การหารือที่เกิดขึ้นจึงเป็นไปอย่างที่ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าว นั่นคือมันเป็นการหารือที่ไม่ได้เป็นประโยชน์กับเพียงแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย และยังเป็นความตั้งใจที่จะให้การพบปะเช่นนี้ช่วยสนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินการในกรอบของอาเซียนด้วย
ที่น่าสนใจคือก่อนหน้าที่ นายหวัง อี้ จะเดินทางมาร่วมประชุมเอ็มแอลซี รัฐมนตรีต่างประเทศจีนก็เพิ่งเดินทางไปยังกรุงเนปยีดอของเมียนมา เพื่อหารือกับ พลเอกอาวุโสมิน อ่อง ลาย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา และยังได้พบกับ พลเอกตาน ฉ่วย อดีตผู้นำทหารเมียนมา รวมถึง นายตาน ส่วย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศเมียมา ซึ่งทำให้ที่ประชุมได้รับทราบข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์และปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมียนมา และมีการย้ำจุดยืนของทุกฝ่ายที่ต้องการเห็นสันติภาพและความมั่นคงกลับคืนสู่ประเทศเมียนมาอีกด้วย
ความสำเร็จของการประชุมเอ็มแอลซีในครั้งนี้แน่นอนว่าส่วนสำคัญที่สุดมาจากความร่วมมือและใจแลกใจของประเทศสมาชิก แต่ขณะเดียวกันมันก็สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแรงของการต่างประเทศไทยที่สามารถยืดหยัดได้ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ อย่างน้อยก็แสดงให้เพื่อนบ้านและโลกได้เห็นว่าอุบัติเหตุทางการเมืองในประเทศ ไม่ส่งผลกระทบต่อการแสดงบทบาทของไทยในเวทีโลก
ขณะที่ในต้นเดือนกันยายน ไทยยังมีกำหนดที่จะเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (บิมสเทค) ในระหว่างวันที่ 3-4 กันยายนนี้ ที่เป็นการประชุมของผู้นำ 7 ชาติ คือ บังกลาเทศ อินเดีย เมียนมา เนปาล ภูฏาน ศรีลังกา และไทย ในฐานะประธานบิมสเทค สามารถใช้โอกาสนี้ในการแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ และประเทศไทยยังสามารถเดินหน้าต่อในพันธกิจต่างๆ ที่มีในเวทีระหว่างประเทศได้เช่นเดิม
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 20 สิงหาคม 2567