นักวิชาการห่วง "น้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรม" ใจกลางเมืองฉุดอนาคตเศรษฐกิจไทย
นักวิชาการห่วง "น้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรม" ใจกลางเมืองฉุดอนาคตเศรษฐกิจไทย ชี้ผลกระทบภัยพิบัติทางธรรมชาติต่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ระบุไทยยังเผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อมเข้าขั้นวิกฤติหลายมิติ
ศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และอดีตกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ เปิดเผยโดยคาดผลกระทบภัยพิบัติทางธรรมชาติต่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ชาวไทยยังเผชิญปัญหาสิ่งแวดล้อมเข้าขั้นวิกฤติหลายมิติหลายลักษณะด้วยกัน ปัญหาน้ำท่วมฉับพลัน ฝนตกหนัก น้ำท่วมรุนแรงจากปรากฎการณ์ลานีญาล้วนมีความเกี่ยวพันกับภาวะโลกร้อน
ภาวะโลกร้อนอันเป็นผลจากการพัฒนาแบบทำลายสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานฟอสซิสที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกทำลายชั้นบรรยากาศโลก เกิดความแปรปรวนของภูมิอากาศอย่างรุนแรง จากข้อมูลของนักวิจัยเกี่ยวกับลานีญาในประเทศไทย พบว่า ปรากฎการณ์ลานีญาอาจยาวนาน 9-12 เดือน ทำให้อุณหภูมิลดต่ำลง ทำให้ปริมาณน้ำฝนอาจสูงถึง 14,000 ล้าน ลบ. ม.
การเปลี่ยนผ่านจากเอลนีโญ สู่ ลานีญา ในไทย
ทำให้ภาคเกษตรกรดเรมได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ เจอภัยแล้งรุนแรงแล้วก็เจอน้ำท่วมหนัก การจะบรรเทาปัญหาเหล่านี้ได้ต้องต้องปรับยุทธศาสตร์เป็นพัฒนาแบบยั่งยืน เดินหน้าลงทุนระบบการบริหารจัดการน้ำ การปรับยุทธศาสตร์เป็นการพัฒนาแบบยั่งยืน จะช่วยแก้ที่ต้นตอของปัญหา การพัฒนาในแบบที่ทำลายสิ่งแวดล้อมจะทำให้เกิดภาวะโลกเดือดรุนแรงขึ้นอีกทั้งส่งผลให้เกิดความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศน้ำท่วม ภัยแล้งรุนแรงขึ้นไปอีก
ความเสียหายต่อนิคมอุตสาหกรรมจำนวนมากเมื่อน้ำท่วมใหญ่ปี 54 ส่งผลกระทบระยะยาวต่อเศรษฐกิจไทย ผลักดันให้มีการย้ายฐานการผลิตออกจากพื้นที่ศูนย์กลางของประเทศ (งานวิจัยของ Ikumo Isono และ Satoru Kumagai) ความรุนแรงของผลกระทบระยะยาวของน้ำท่วมใหญ่ในไทยปี 2554 ลดลง
เมื่อภาคการผลิตบางส่วนเพียงแค่ย้ายฐานการผลิตไปยังส่วนอื่นๆของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ของประเทศที่ไม่มีปัญหาน้ำท่วม พื้นที่เหล่านี้ได้รับผลบวกทางเศรษฐกิจ เกิดการกระจายตัวของความเจริญมากขึ้น การปิดโรงงานเพียงหนึ่งโรงในพื้นที่น้ำท่วมบางครั้งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตทั้งหมดของเครือข่ายอุตสาหกรรมของภูมิภาคและของโลกได้
ขณะนี้การป้องกันไม่ให้น้ำไหลหลากจากภาคเหนือเข้าท่วมนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ใจกลางของประเทศจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่ออนาคตเศรษฐกิจไทยอย่างมาก หากเกิดน้ำท่วมใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับปี 2554 อีก จะสะท้อนถึงความล้มเหลวของระบบป้องกันภัยพิบัติอุทกภัยอย่างชัดเจน เอาเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนการผลิตนั้นมีห่วงโซ่อุปทานเชื่อมโยงภาคการผลิตไม่ต่ำกว่า 16 ประเทศ ความเสียหายทางเศรษฐกิจภาคการผลิตและการลงทุนของผลกระทบน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมที่เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของภูมิภาคและของโลกจึงไม่จำกัดเพียงเศรษฐกิจไทยเท่านั้น
เมื่อฝนตกหนัก ดินถล่มในหลายพื้นที่ เป็นผลมาจากป่าไม้ต้นน้ำและป่าไม้ในหลายพื้นที่ถูกทำลาย เป็นผลจากการทำเกษตรอุตสาหกรรมแบบไม่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม การทำการเกษตรกรรมแบบขาดความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมยังนำมาสู่ปัญหาวิกฤติมลพิษทางอากาศ หมอกควันและ PM2.5 การลดต้นทุนในการเตรียมเตรียมพื้นดินทำเกษตรด้วยการเผาได้สร้าผลกระทบภายนอกด้านลบ (Negative Externalities) อย่างมากต่อคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อมและสังคมโดยรวม เพราะได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพของประชาชนในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ส่งผลอย่างมากต่อเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะเศรษฐกิจพื้นที่ที่อาศัยรายได้หลักจากการท่องเที่ยว สถานการณ์ได้เลวร้ายจนหลายจังหวัดในภาคเหนือมีมลพิษทางอากาศและหมอกควันสูงติดอันดับต้นๆของโลก
หากรัฐบาลปล่อยให้ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้งเกิดซ้ำซากทุกปี มลพิษทางอากาศเกิดขึ้นทุกปี เมื่อประเทศไทยจะอยู่ในสภาพน้ำท่วม บวก ภัยแล้ง บวก อากาศร้อนรุนแรง บวก มลพิษทางอากาศ หมอกควัน รวมกันยาวนานเกินกว่า 4 เดือนขึ้นไปต่อปีจะทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตรุนแรงมากขึ้น
จากการประเมินเบื้องต้น พบว่าในส่วนของผลกระทบทางเศรษฐกิจนั้นอาจสร้างความเสียหายได้มากกว่า 100,000 ล้านบาทต่อปีได้ ความเสียหายนี้เหล่านี้ยังไม่ได้คำนวณผลกระทบต่อสุขภาพ ผลกระทบต่อการย้ายถิ่น ที่จะทำให้รายจ่ายด้านสาธารณสุขและต้นทุนทางสังคมเพิ่มขึ้นในระยะยาว
การสูญเสียทางเศรษฐกิจเกิดจากการลดลงของรายได้ ความเสียหายทางทรัพย์สิน ความเสียหายทางด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิต จากการชะลอตัวลงของการท่องเที่ยวและการเดินทาง ภัยพิบัติเกี่ยวเนื่องกับปัญหาสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน การชะลอตัวลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลางแจ้งและโครงการก่อสร้างต่างๆ ค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุขเพิ่มขึ้น ค่าเสียโอกาสจากประเด็นทางด้านสุขภาพ นอกจากนี้ ผู้มีรายได้น้อยและคนจนในพื้นที่ภัยพิบัติจะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ผู้ใช้แรงงานในเขตพื้นที่ภัยพิบัติ
อย่างไรก็ดี ความไม่มั่นใจต่อการบริหารจัดการเรื่องอุทกภัย การจัดการน้ำท่วมขังและการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบเกิดขึ้นต่อสาธารณชน และเริ่มวิตกกังวลมากขึ้นว่าจะเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต การทำงาน การสูญเสียรายได้และทรัพย์สินแบบปี พ.ศ. 2554 หรือไม่ และการเตรียมการรับมือมีประสิทธิภาพอย่างไร
ขณะที่ปัญหาที่ใหญ่กว่าน้ำท่วมขังอุทกภัยใหญ่แบบปี 2554 ก็คือ มีงานวิจัยของกรีนพีซเตือนว่าในอีก 7-8 ปี กรุงเทพฯอาจจมทะเล สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจสังคมรุนแรงหากไม่ทำอะไรเพื่อป้องกันตั้งแต่ตอนนี้อย่างจริงจัง เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวพันกันมากขึ้นต่อเนื่อง งานวิจัยของธนาคารโลกชี้ด้วยว่า ต้นทุนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือภาวะโลกร้อนที่ไม่มีการแก้ไขสูงถึง 20% ของจีดีพีโลก และเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ความเสียหายลดลงได้หากทุกประเทศร่วมมือกันในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดกิจกรรมที่ทำลายสิ่งแวดล้อมและสร้างมลพิษทางอากาศ
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 26 สิงหาคม 2567