เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยจัดงาน Supply Chain Symposium: Building Supply Chain Resilience for Thailand-US Enhanced Partnership ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิต์ โดยมีผู้สนใจจากหลายภาคส่วนเข้าร่วมงานจำนวนมาก

 

นายเชษฐพันธ์ มากสัมพันธ์ อธิบดีกรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ นายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย และนางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกล่าวถ้อยแถลงเปิดงาน นายเชษฐพันธ์กล่าวว่า งานดังกล่าวเป็นโอกาสให้ไทยและสหรัฐร่วมแบ่งปันประสบการณ์ แลกเปลี่ยนมุมมองและระดมสมอง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศ ตามบันทึกความเข้าใจ (MoU) และดังที่ไทยเป็นประเทศสมาชิกของกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (IPEF) ด้วย

 

 

นายโกเดคระบุว่า ภาวะดิสรับชัน (disruption) และเศรษฐกิจหลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เห็นถึงความสำคัญของการกระจายความเสี่ยงและเสริมสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซอุปทาน รวมถึงลดการพึ่งพิงอุปทานจากแหล่งเดียว ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและสหรัฐจะทำให้ชีวิตคนไทยและสหรัฐปลอดภัย ผาสุข และรุ่งเรืองท่ามกลางความไม่แน่นอน

 

ขณะที่นางสาวบุษฎีกล่าวว่า งานนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งระหว่างสหรัฐ และข้อตกลงห่วงโซ่อุปทานกรอบ IPEF เป็นข้อตกลงที่ช่วยขับเคลื่อนความร่วมมือในภูมิภาค ช่วยสนับสนุนความเข้มแข็งของห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ ส่งเสริมแรงงานให้มีศักยภาพ และรับมือกับภาวะดิสรับชันอีก เวทีในวันนี้จะช่วยส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ รวมถึงความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในเรื่องห่วงโซ่อุปทานด้วย

 

ในช่วงแรกของงาน นาย Grant T. Harris, Assistant Secretary of Commerce for Industry and Analysis นายศึกษิษฎ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง นางจุฬามณี ชาติสุวรรณ หัวหน้าคณะเจรจากรอบความร่วมมือ IPEF นางศิริเพ็ญ เกียรติเฟื่องฟู รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และนายวิรัตน์ ธัชศฤงคารสกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ร่วมพูดคุยในหัวข้อ Building Supply Chain Resilience for Thailand-US Enhanced Economic Partnerships

 

นาย Grant T. Harris บรรยายความเข้าใจในเรื่องการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานว่า ภัยธรรมชาติ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด และภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้ห่วงโซ่อุปทานเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก ทำให้สหรัฐเริ่มหาแนวทางใหม่ในการทำให้ระบบห่วงโซ่อุปทานมีความยั่งยืน (“resilient supply chain”) และเป็นนโยบายหลักของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐด้วย

 

ด้านนายศึกษิษฎ์ระบุว่า นโยบายของรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร จะดำเนินต่อเนื่องจากรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน โดยจากที่เขาได้เดินทางหารือกับนักลงทุนอย่างต่อเนื่องเป็นรากฐานที่ดี และทำให้เกิดโอกาสมากมาย ไทยต้องการที่จะเปลี่ยนภาคการผลิตรถยนต์น้ำมันเป็นรถยนต์ไฟฟ้า และได้ปรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในเรื่องนี้ด้วยแล้ว หวังว่านักลงทุนสหรัฐจะหันมาลงทุนในไทยมากขึ้น ทั้งยังพูดถึงโครงสร้างพื้นฐานในไทยที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการลงทุน เช่น การสร้างสนามบินล้านนา สนามบินอันดามัน รวมถึงโครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค นอกจากนี้ สาธารณสุขของไทยยังเข้มแข็งอีกด้วย

 

นางจุฬามณีกล่าวว่า กรอบความร่วมมือ IPEF จะทำให้เศรษฐกิจระหว่างไทยและสหรัฐคึกคักมากขึ้น ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ ที่นาย Harris ได้กล่าวไว้ข้างต้น IPEF จะช่วยส่งเสริมความมั่นคงทางการค้า ผ่านการพัฒนากระบวนการนำเข้า ความโปร่งใส สนับสนุนการลงทุน และแลกเปลี่ยนข้อมูลสำคัญ ซึ่งจะทำให้การบริหารห่วงโซ่อุปทานดีขึ้นด้วย

 

นางศิริเพ็ญเล่าว่า สมาชิก IPEF เริ่มเจรจาเรื่องความข้อตกลงเรื่องห่วงโซ่อุปทานอย่างมั่นคงและยั่งยืนเมื่อธันวาคม 2022 และ ร่างสำคัญตกลงเมื่อพฤษภาคม 2023 โดยกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ผลักดันในเรื่องนี้อย่างแข็งขัน ซึ่งได้พูดคุยกับภาคส่วนต่างๆ ภายในประเทศ เพื่อส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน

และเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2023 ไทยและสมาชิก IPEF ได้ลงนามความตกลงในเสาห่วงโซ่อุปทาน

 

ท้ายนี้ นายวิรัตน์กล่าวว่าไทยเป็นจุดหมายของการลงทุน โดยมีหลายสาเหตุ ได้แก่ ไทยเป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เป็นตลาดใหญ่ ประตูสู่ประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ อย่าง จีนและอินเดีย โครงสร้างพื้นฐานที่ดี และยังมีตกลงการค้าเสรีถึง 15 ฉบับ อีกทั้ง เขาระบุว่าเศรษฐกิจ BCG (Bio Circular Green Economy) อุตสาหกรรม EV สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล และศูนย์การค้านานาชาติมีความสำคัญยิ่งด้วย พร้อมเน้นย้ำความสำคัญในร่วมมือกับสหรัฐผ่าน IPEF ด้วย

 

ในช่วงที่สองของงานมีการบรรยายกลุ่มย่อยออกเป็น 2 หัวข้อ ได้แก่ Future Food และ Clean Energy and Digital Infranstruture ซึ่งผู้เข้าร่วมงานสามารถเลือกรับฟังได้ตามความสมัครใจ

 

ที่มา มติชนออนไลน์

วันที่ 29 สิงหาคม 2567