เศรษฐกิจดิจิทัล 3.6 หมื่นล้าน ภัยไซเบอร์ "หลอกซื้อสินค้า" พุ่งตาม
ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทและกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนทั่วโลกมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งกลับกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบเศรษฐกิจและสังคมอย่างมหาศาล
สภาผู้บริโภคจึงจับมือร่วมกับองค์กรของผู้บริโภคในภูมิภาคอาเซียน บวกสาม จัดการประชุม “สานพลังอาเซียน บวกสาม เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคในเศรษฐกิจดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI)” เพื่อสะท้อนปัญหาและร่วมมือในการป้องกันภัยไซเบอร์ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลและการพัฒนของAI
นางบุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีและ AI มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้มูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ของไทยในปี 2566 สูงถึง 36,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 16% จากปี 2565
โดยไทยเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคอาเซียน รองจากอินโดนีเซีย ที่มีมูลค่า 82,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าปี 2568 มูลค่าตลาดของไทยเพิ่มขึ้นเป็น 49,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม แม้จะสร้าง AI มา เพื่อใช้ประโยชน์แต่กลับถูกบิดเบือนและนำไปใช้อย่างผิดวิธีและผิดกฎหมาย สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนปัญหาภัยออนไลน์ในช่วงครึ่งปีแรก 2567 จำนวน 13,876 เรื่อง จากสถิติดังกล่าวสะท้อนให้เห็นปัญหาโครงสร้างทางกฎหมายและภัยไซเบอร์ที่ทุกภาคส่วนจะต้องรีบกำหนดมาตรการเพื่อแก้ปัญหาโดยเร่งด่วน
3 ปี ร้องภัยไซเบอร์ 6 แสนเรื่อง :
ขณะที่ ข้อมูลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า ในช่วง 3 ปี (1 มี.ค. 2565-31 ก.ค. 2567) มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับภัยออนไลน์สูงถึง 612,603 เรื่อง มูลค่าความเสียหายรวม 69,186 ล้านบาท
ซึ่งการร้องเรียนกรณีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ คือ ปัญหาใหญ่ที่สุด จำนวน 296,042 เรื่อง หรือสัดส่วน 44.08% ของข้อร้องเรียนทั้งหมด มูลค่าความเสียหาย 4,311 ล้านบาท รองลงมาคือกรณีหลอกให้โอนเงินเพื่อการทำงาน 82,162 เรื่อง สัดส่วน 13.46% ความเสียหาย 10,173 ล้านบาท และหลอกให้กู้ยืมเงิน 63,878 เรื่อง สัดส่วน 10.47% ความเสียหาย 3,102 ล้านบาท
ภัยการหลอกลวงและการฉ้อโกงออนไลน์โดยใช้ AI ไม่เพียงกระทบต่อไทย แต่ยังส่งผลต่อผู้บริโภคในอาเซียนอย่าง เวียดนาม เมื่อปี 2566 เสียหายไปกว่า 16,230 ล้านเหรียสหรัฐ หรือเทียบเท่า 3.6% ของ GDP ในปีเดียวกัน
ขณะที่ล่าสุดในเดือนพฤษภาคม 2567 ฮ่องกง พบการปลอมแปลงคลิปวิดีโอออนไลน์โดยการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือคนดังสูงถึง 21 คลิป และคนฮ่องกงถูกหลอกให้จ่ายเงินถึง 25 ล้านเหรียญสหรัฐ (800 ล้านบาท) เช่นกัน จึงนำมาสู่การสร้างความร่วมมือกันระหว่างสภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมกับอาเซียน บวก 3
อาเซียนรวมพลังคุ้มครองผู้บริโภค
นางบุญยืนกล่าวต่อไปว่า สภาองค์กรของผู้บริโภคจึงได้ร่วมกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มูลนิธิผู้บริโภคอินโดนีเซีย (YLKI) และสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคมาเลเซีย (FOMCA) รวมทั้งองค์กรของผู้บริโภคในภูมิภาคอาเซียน บวกสาม จัดการประชุมความร่วมมือ “สานพลังอาเซียน บวกสาม เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคในเศรษฐกิจดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์” โดยมีพันธกิจสำคัญที่มุ่งสู่กลไกการคุ้มครองผู้บริโภคในยุคดิจิทัล
“ผู้บริโภคเกือบทุกประเทศถูกกวาดต้อนให้เข้าสู่ระบบดิจิทัลแบบไร้การป้องกัน ซึ่งปัญหาดิจิทัลเหมือนกับวัวหายแล้วล้อมคอก เมื่อเกิดปัญหา หน่วยงานต่าง ๆ ถึงมาหาทางแก้ไข แต่วันนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สภาผู้บริโภคถือว่าเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความร่วมมือเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค” นางบุญยืนกล่าว
MOU ปราบภัยดิจิทัล :
นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและในอาเซียน ซึ่งได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในเศรษฐกิจดิจิทัลและ AI ระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน บวกสาม และสร้างพื้นฐานของความเข้าใจและความร่วมมือร่วมกันที่ทำให้ทุกประเทศสมาชิกได้รับประโยชน์อย่างเท่าเทียมกัน
โดยจะมีทั้งการแบ่งปันข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค แลกเปลี่ยนข้อมูลกรณีศึกษาที่สามารถนำไปปรับใช้ในนโยบายจริงได้ และนำไปสู่การพัฒนานโยบายการคุ้มครองผู้บริโภคในยุคดิจิทัลของแต่ละประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงการเสริมสร้างศักยภาพในระดับบุคคลขององค์กรที่เกี่ยวข้องด้วย
สำหรับสาระสำคัญของ MOU มีทั้งหมด 2 ข้อ ดังนี้
1) องค์กรที่เกี่ยวข้องจะจัดการประชุมประจำปีอย่างเป็นทางการเพื่อทบทวนความก้าวหน้าของกิจกรรมนี้ และปรับเป้าหมายความร่วมมือหรือหารือเกี่ยวกับการปรับปรุงเฉพาะตามความจำเป็น นอกจากนี้ คณะทำงานจะติดตามผลการประชุมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่ากิจกรรมต่าง ๆ ได้รับการสะท้อนในนโยบายของแต่ละประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
2) องค์กรที่เกี่ยวข้องอาจแต่งตั้งผู้แทนของตนเป็นหน่วยงานประสานงานเพื่อวัตถุประสงค์ในการบริหารงานภายใต้กรอบของบันทึกความเข้าใจฉบับนี้
ทั้งนี้ การจัดการทางการเงินเพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมภายใต้กรอบของ MOU จะต้องได้รับการตกลงร่วมกัน ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเงินทุน เพื่อลดภาระทางการเงิน และองค์กรที่เกี่ยวข้องจะต้องรักษาความลับของเอกสารและข้อมูลที่ได้รับหรือจัดหาจากองค์กรต่าง ๆ
วอนแบงก์ “หน่วงเงิน”
นางสารีกล่าวต่อไปว่า สำหรับประเทศไทย ปัจจุบันสภาผู้บริโภคได้ติดตามปัญหาและพยายามผลักดันข้อเสนอทางนโยบาย โดยเรื่องเร่งด่วนซึ่งจะช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภค คือการออกมาตรการหน่วงเงิน (Slow Payment) หากผู้บริโภคที่มั่นใจว่ารู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ หรือต้องการความสะดวกในการโอนเงินจำนวนมาก สามารถขอให้ธนาคารปลดล็อกการหน่วงเงินได้ ซึ่งจะไม่กระทบกับการซื้อขายและการใช้ชีวิตของผู้บริโภคทั่วไป
ด้าน ดาโต้ะ อินดรานี ทุไรซิงแฮม (Dato Indrani Thuraisingham) รองประธานสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคมาเลเซีย (FOMCA) กล่าวว่า การพูดคุยแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ในเศรษฐกิจดิจิทัลและ AI ในภูมิภาคอาเซียน บวกสาม สะท้อนให้เห็นปัญหาการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต (Scam) ที่ทวีความรุนแรงและมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น รวมถึงสร้างศักยภาพองค์กรผู้บริโภคแต่ละประเทศให้รู้เท่าทันภัยไซเบอร์และอีคอมเมิร์ซมากขึ้น
เปิดโมเดลสิงคโปร์
นายอัง จง ซิน วิลเฟรด (Mr.Ang Zhong Xin Wilfred) รองหัวหน้าฝ่ายผู้บริโภคสัมพันธ์ สมาคมผู้บริโภคแห่งสิงคโปร์ กล่าวว่า จากสถานการณ์โควิด ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปใช้บริการช่องทางออนไลน์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของออนไลน์ สั่งอาหารออนไลน์ และพบว่าปัญหาจากการทำธุรกรรมออนไลน์ 5 ข้อ คือ 1.สั่งของไม่ได้ของ 2.บริษัทไม่ทำตามข้อสัญญา 3.บริษัทปิดตัวแล้วไม่ได้เงินคืน 4.ร้านจะคืนเงินแต่ไม่คืนเงิน และ 5.ไม่พึงพอใจในบริการ
นอกจากนี้ ได้ยกตัวอย่างกรณีเรื่องร้องเรียน งานโคมลอยที่มีการขายตั๋วก่อนวันงาน ประมาณ 2,000 ใบ แต่เมื่อมาถึงวันจัดงานกลับถูกยกเลิก เนื่องจากผู้จัดไม่มีใบอนุญาตจัดงาน แต่ผู้จัดเพิ่งแจ้งผู้บริโภคในวันงาน มีแนวทางการเยียวยาโดยให้ไปงานที่จะจัดอีกรอบและไม่มีแนวทางคืนเงิน ด้านผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยและเข้ามาร้องเรียน สมาคมผู้บริโภคแห่งสิงคโปร์ได้เป็นตัวกลางในการเจรจาให้ผู้จัดคืนเงิน จนสุดท้ายผู้บริโภคได้เงินคืน
สำหรับแนวทางจัดการข้อพิพาทในการซื้อของออนไลน์ ทางสมาคมมีแนวทางดำเนิน 5 ข้อ คือ 1.ผู้ประกอบการต้องได้รับการยืนยันตัวตน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ 2.การให้ข้อมูลและการสื่อสารต้องชัดเจน และเข้าใจได้ง่าย 3.กรอบเวลาที่ชัดเจนในการระงับข้อพิพาทการร้องเรียน 4.ผู้ประกอบการต้องมีระบบจัดการเรื่องร้องเรียน ชดเชย และเยียวยาเมื่อเกิดความเสียหาย รวมไปถึงระบบปกป้องการจ่ายเงินหรือข้อมูลของลูกค้าด้วย และ 5.การอำนวยความสะดวกในการช่วยเหลือเพื่อระงับข้อพิพาท ผ่านช่องทางออนไลน์
“สังคมของเราใช้เอไอเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้แชตบอตในการตอบลูกค้า แม้ว่าบางกรณีควรจะเป็นคนให้คำตอบ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีข้อจำกัดในเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ตาม การใช้เอไอควรใช้อย่างระมัดระวัง” นายวิลเฟรดกล่าว
ผุดดัชนีคุ้มครองผู้บริโภคยุคดิจิทัล
ความร่วมมือในครั้งนี้ องค์กรผู้บริโภคที่ร่วมลงนาม MOU ได้แก่ สภาองค์กรของผู้บริโภค, สหพันธ์องค์กรผู้บริโภคมาเลเซีย, มูลนิธิผู้บริโภคแห่งอินโดนีเซีย, สมาคมเกษตรกรรมและการพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืนประเทศลาว, สหภาพผู้บริโภคเมียนมา สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา, องค์กรผู้บริโภคแห่งเกาหลี และองค์กร มูลนิธิวิจัย การศึกษา และการพัฒนาข้อมูลที่ไม่แสวงหากำไร ประเทศฟิลิปปินส์ ต่างได้เห็นพ้องที่จะร่วมกันพัฒนาดัชนีคุ้มครองผู้บริโภคในยุคดิจิทัลของอาเซียน (ASEAN Digital Consumer Protection Index)
โดยจะพิจารณาจากกฎหมายของแต่ละประเทศที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภัยไซเบอร์ รวมถึงปัญหาเกี่ยวกับดิจิทัลและ AI ที่ผู้บริโภคเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ทั้งเรื่องการถูกล่วงละเมิดหรือหลอกลวงผ่านออนไลน์ ปัญหาการใช้บริการสัญญาณมือถือและอินเทอร์เน็ต ความปลอดภัยของข้อมูลบนโลกออนไลน์ ความเป็นส่วนตัว รวมถึงการรู้เท่าทันของผู้บริโภคในประเทศ
การดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดความสูญเสียจากภัยไซเบอร์จึงนับเป็นเรื่องสำคัญที่องค์กรสภาผู้บริโภคอาเซียนจะต้องร่วมมือกันและก่อให้เกิดการประกาศความสำเร็จในการร่วมมือปราบภัยไซเบอร์ข้ามชาติในครั้งนี้
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 5 กันยายน 2567