ส.ชิ้นส่วนยานยนต์ ชงรัฐบาล 3 ข้อ-สร้างไทยเป็นฮับรถสันดาป
สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เสนอ 3 แนวทางรัฐบาลอิ๊งค์ต่อยอด "เศรษฐา" ดันไทยเป็นฐานการผลิตสุดท้ายสำหรับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน ด้านรถอีวีขอไทยผ่อนเกณฑ์การให้สินเชื่อดันยอดขาย
วันที่ 9 กันยายน 2567 นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ได้ร่วมกับสมาชิกของสมาคมเสนอ 3 แนวทางที่อยากให้รัฐบาลช่วยสนับสนุนและผลักดันกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ไทยคือ
1)การสร้างประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสุดท้ายสำหรับรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน
2)ปรับตัวขยายไปยังธุรกิจอื่น ๆ ที่ใช้พื้นฐานใกล้เคียง
3)การพัฒนาธุรกิจตลาดอะไหล่รถยนต์ให้เติบโตและสร้างรายได้อย่างเข้มแข็งต่อเนื่อง
ทั้งนี้ รัฐบาลต้องประกาศให้ชัดเจนว่าจะมีแผน หรือนโยบายในการดึงการลงทุนของผู้ผลิตรถยนต์สันดาปภายในให้เข้ามาที่เมืองไทยได้ ผู้ผลิตผู้ประกอบการไทยไม่ได้ต่อต้านใคร เนื่องจากเรามีจุดแข็งคือ มี Supply Chain 2,500 รายเข้มแข็ง และมีแรงงานทักษะฝีมือค่อนข้างสูง เชื่อว่าภาครัฐน่าจะใช้จุดนี้มาช่วยดึงลงทุนได้เข้ามาให้ได้
“สมาคมมองว่าตลาดรถยนต์สันดาปภายในนั้นจะไม่หมดไปจากโลกนี้ รวมถึงตลาด Future ICE อย่างรถยนต์ไฮบริด ถือเป็นตลาดที่มีโอกาสการเติบโตค่อนข้างสูงในประเทศไทยและหลาย ๆ ภูมิภาค”
“เรามองว่าหากรัฐบาลน่าจะช่วยเหลือในการเจรจากับผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนในเทคโนโลยีเหล่านี้ ให้เลือกประเทศไทยเป็นฐานผลิตได้ รวมถึงอาจจะมีสิทธิประโยชน์ในการลงทุนต่าง ๆ มากขึ้น”
สมาคมรถ EV ขอส่งเสริมต่อ :
นายสุโรจน์ แสงสนิท นายกสมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทยกล่าวว่า ขอให้รัฐบาลชุดใหม่เร่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และผ่อนเกณฑ์การให้สินเชื่อจากสถาบันการเงิน เพราะจากปัญหาดังกล่าวทำให้กำลังซื้อในประเทศหายไป เห็นได้จาก 8 เดือน (มกราคม-สิงหาคม 2567) มียอดขายรถ EV เพียง 49,000 คันเท่านั้น จึงส่งผลให้ยอดขายรถ EV ทั้งปี 2567 เหลือเพียง 80,000 คัน จากเป้าที่ตั้งไว้ 100,000 คัน
นอกจากนี้ อยากให้รัฐบาลออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนผลิตรถ EV ในประเทศไทยเพื่อการส่งออก รวมถึงออกข้อกำหนดให้การลงทุนใหม่ที่เข้ามาจะต้องใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศให้ได้มากที่สุด หรือสนับสนุนด้วยการออกมาตรการส่งเสริมการร่วมทุนกับผู้ผลิตรถ EV เพื่อให้บริษัทคนไทยได้โอกาสและเข้าไปเป็นซัพพลายเชน ด้วยการร่วมถือหุ้นในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 30%
รวมทั้งขอให้รัฐบาลเร่งพิจารณาขยายเวลามาตรการส่งเสริมการลงทุนผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า และระบบกักเก็บพลังงาน (ESS) ออกไปอีก 2 ปี
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 9 กันยายน 2567