เศรษฐกิจไทยโค้งสุดท้าย หวัง "ท่องเที่ยว-ส่งออก-ดอกผลแจกเงินหมื่น"
ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ออกบทวิเคราะห์เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 (ตุลาคม-ธันวาคม) ของปี 2567
โดยระบุว่า ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออกจะเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาส 4 และยังประเมินว่าโครงการแจกเงิน 10,000 บาทกลุ่มเปราะบาง จะช่วยประคองแต่ผลกระตุ้นมีจำกัด
โดย SCB EIC ได้ฉายภาพเศรษฐกิจโลกว่ามีแนวโน้มเติบโตแบบ Soft landing ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ภาคการผลิตหดตัวชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้ว ขณะที่ภาคบริการยังขยายตัวได้ดีแม้จะชะลอลงบ้าง
อย่างไรก็ดี SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2568 จะขยายตัวเร่งขึ้นได้ โดยมีอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ทยอยลดลงเป็นปัจจัยสนับสนุน
แต่ต้องจับตาความเสี่ยงจาก
1)สงครามอิสราเอล-ฮามาส โดยเฉพาะบทบาทอิหร่านและสงครามขยายวงเข้าไปในเลบานอน
2)การเลือกตั้งในสหรัฐ ที่จะมีผลกระทบโดยตรงต่อนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะมาตรการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศที่จะกระทบเศรษฐกิจและการค้าโลกตามมา และ
3)การเลือกตั้งในญี่ปุ่น ที่อาจนำไปสู่การยกระดับกำลังทหารของญี่ปุ่นและความร่วมมือด้านความมั่นคงในภูมิภาค
SCB EIC ยังประเมินว่า นโยบายการเงินโลกตึงตัวลดลง ทำให้ช่วงที่เหลือของปีนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะลดดอกเบี้ยอีก 50 BPS หลังลด 50 BPS ในไตรมาส 3
ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะลดดอกเบี้ยอีก 25 BPS หลังปรับลดแล้ว 75 BPS และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยอีก 25 BPS ในเดือนพฤศจิกายน หลังปรับลดไป 25 BPS ในไตรมาส 3 และอาจมีโอกาสลดเพิ่มอีก 25 BPS ในเดือน ธ.ค.
ขณะที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่องหลังลดดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 30 BPS ตั้งแต่ต้นปี
จากสถานการณ์ดังกล่าวเมื่อส่งผลมายังเศรษฐกิจไทย SCB EIC ประเมินเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับเข้ากรอบในช่วงต้นไตรมาส 4 และจะทรงตัวใกล้เคียงขอบล่างในช่วงปีหน้า
อย่างไรก็ดี มาตรการกีดกันการค้าในโลกที่จะออกมาเพิ่มขึ้นและสภาพอากาศแปรปรวนรุนแรงขึ้นจะเริ่มเป็นปัจจัยส่งผลมาที่เงินเฟ้อในระยะปานกลางมากขึ้น
โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยเริ่มปรับลดลง 0.25% ในเดือนตุลาคม เพื่อช่วยบรรเทาภาระหนี้และไม่เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ในภาวะสินเชื่อชะลอตัว และดอกเบี้ยที่ลดลงยังอยู่ในระดับที่เป็นกลางต่อเศรษฐกิจ
SCB EIC ยังมองว่า กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งภายในไตรมาส 1/2568 เพื่อผ่อนคลายภาวะการเงินเพิ่มเติม เนื่องจากประเมินว่าภาพรวมเศรษฐกิจและภาวะสินเชื่อชะลอตัวจะยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง สถานการณ์มีแนวโน้มน่ากังวลมากขึ้นในระยะข้างหน้า ขณะที่ภาวะการเงินโลกจะผ่อนคลายลงอีกเอื้อต่อการลดดอกเบี้ยของไทย
สำหรับเงินบาทจะยังผันผวนสูง ในระยะ 1 เดือนข้างหน้า ค่าเงินบาทเฉลี่ยจะอยู่ในกรอบ 33.10-33.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
โดยต้องจับตาจังหวะการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed และสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจทำให้เงินบาทมี Correction อ่อนค่าได้ในระยะสั้น ก่อนจะทยอยกลับสู่เทรนด์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในกรอบ 32.50-33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี
สำหรับสภาวะเศรษฐกิจไทยช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี SCB EIC ประเมินจะได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยวและส่งออก
โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4 จากกลุ่มตลาดประเทศระยะไกล รวมถึงการท่องเที่ยวในประเทศจะได้ปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐที่จะออกมาเพิ่มเติม โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและเมืองน่าเที่ยว
ขณะที่การส่งออกไทยจะขยายตัวดีขึ้น โดยมีแรงหนุนสำคัญจากวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น
อย่างไรก็ดี ภาคการผลิตอุตสาหกรรมไทยยังฟื้นตัวได้ช้าและมีสัญญาณการฟื้นตัวไม่ชัดเจน ขณะที่สินค้าคงคลังยังอยู่ในระดับสูง ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมปรับลดลงจากสถานการณ์น้ำท่วมและค่าเงินบาทแข็ง
ด้านการบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะแผ่วลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับลดลง 7 เดือนติดต่อกันและอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน
ขณะที่สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่เกษตรเริ่มคลี่คลายลงบ้าง โดยพื้นที่เกษตรที่ได้รับผลกระทบยังไม่สูงมากหากเทียบกับภัยน้ำท่วมในอดีต SCB EIC ประเมินว่า มูลค่าความเสียหายในภาคเกษตรอยู่ที่ราว 4,700 ล้านบาท (0.03% ของ GDP) โดยคาดว่าพื้นที่ปลูกข้าวจะเสียหาย 0.83 ล้านไร่
สำหรับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงิน 10,000 บาท จะเป็นปัจจัยบวกเพิ่มเติมในปีนี้ แต่ประเมินโครงการนี้มีผลบวกต่อเศรษฐกิจค่อนข้างจำกัด เนื่องจากเม็ดเงินทั้งหมดอาจไม่ได้ใช้จ่ายลงเศรษฐกิจ
สะท้อนจากผลสำรวจ SCB EIC consumer survey ที่พบว่า ผู้ได้รับสิทธิบางส่วนจะนำเงินไปออมหรือชำระหนี้ รวมถึงใช้จ่ายเงินนี้แทนรายจ่ายปกติที่ต้องจ่ายอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เกาะติดภาครัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง พบว่า ขณะนี้ภาครัฐได้จ่ายเงิน 10,000 บาทให้แก่กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ แล้วรวม 14.40 ล้านราย ทำให้มีเม็ดเงินจากโครงการฯ หมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวน 1.44 แสนล้านบาท
เป็นมุมจากภาครัฐที่มั่นใจว่าเงินหมื่นดังกล่าวเข้าไปหมุนเวียนเศรษฐกิจแล้ว
สุดท้าย 2 ปัจจัยหลักอย่างท่องเที่ยว และส่งออก จะออกแรงดันเศรษฐกิจไทยโค้งสุดท้าย หรือเงินหมื่นจะกลับมาปลุกเศรษฐกิจไทยได้
จะมีคำตอบในไม่ช้า!!
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 28 ตุลาคม 2567