Trade War รอบใหม่ จีนย้ายฐานการผลิตอีกระลอก
นโยบายกีดกันทางการค้ากับจีน เป็นหนึ่งในนโยบายหาเสียงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 นี้ ถือเป็นนโยบายที่มีการกล่าวถึงกันมาก โดยเฉพาะนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าจากสินค้าจีน 60% และประเทศอื่น ๆ อีก 10-20% ของ "โดนัลด์ ทรัมป์" จากพรรครีพับรีกัน ซึ่งคาดว่าจะสร้างความเสี่ยงเงินเฟ้อในสหรัฐ ตลอดจนอาจเกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนอีกระลอก
Trade War รอบแรกจุดเปลี่ยนสำคัญ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า หลังจาก Trade War รอบแรกผ่านมา 6 ปี สหรัฐยังคงขาดดุลการค้ากับจีนสูงในระดับสูง นับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2018 ที่ประธานาธิบดีสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์” ใช้มาตรา 301 (Unfair Trade Practice Section 301) ในการขึ้นภาษีสินค้าจีนภายใต้มาตรการปกป้องการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยมุ่งหวังลดขาดดุลการค้าของสหรัฐกับจีน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสหรัฐยังคงขาดดุลการค้ากับจีนในระดับสูงถึง 2.79 แสนล้านดอลลาร์ คิดเป็น 26% ของยอดขาดดุลการค้ารวมของสหรัฐ ในปี 2023 ขณะที่จีนยังคงเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก ด้วยสัดส่วน 14% ของการส่งออกโลก
ขณะที่ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนเปลี่ยนรูปแบบไป โดยมีประเทศที่ 3 อย่าง “อาเซียนและเม็กซิโก” เข้ามาเป็นฐานการผลิตของจีนเพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐ ส่งผลให้สหรัฐนำเข้าจากเม็กซิโก เป็นอันดับ 1 แทนที่จีน และมีการนำเข้าจากอาเซียนเพิ่มด้วย ในขณะที่จีนก็มีการตลาดส่งออกอาเซียนเป็นอันดับ 1 แทนที่สหรัฐ
ผลกระทบสินค้าจีน 3 กลุ่ม :
ผลจาก Trade War รอบแรก การเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตราที่แตกต่างกันส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการนำเข้าสินค้าของสหรัฐ จากจีนที่ต่างกัน
สินค้ากลุ่ม 1 ที่มีการเพิ่มภาษีนำเข้าสูงสุดในอัตรา 25% ส่งผลให้สหรัฐ ลดการนำเข้าจากจีนมากที่สุด สินค้าในกลุ่มนี้เป็นสินค้าวัตถุดิบขั้นต้นและกึ่งสินค้าขั้นกลาง อาทิ HDDs ยางล้อ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องบิน อุปกรณ์โทรศัพท์ อาหารสัตว์เลี้ยง เหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งสหรัฐนำเข้าสินค้ากลุ่มนี้ลดลงจาก 2.34 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2017 เหลือ 1.3 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2023
สินค้ากลุ่ม 2 ที่ถูกเก็บภาษีเพิ่ม 7.5% เป็นสินค้าขั้นกลางและกึ่งสำเร็จรูป อาทิ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ สินค้าเกษตรและสิ่งทอ จากผลของภาษีที่ไม่สูงเท่ากลุ่มแรก ทำให้สหรัฐนำเข้าลดลงเล็กน้อย จาก 1.0 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2017 เหลือ 0.9 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2023
สินค้ากลุ่ม 3 ที่ยังไม่ถูกเก็บภาษีเพิ่มเติมใน Trade War รอบแรก สหรัฐจึงยังมีการนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้น เป็นกลุ่มสินค้าสำเร็จรูปในกลุ่มอุปโภคบริโภค อาทิ สมาร์ทโฟน แท็บเลต โน้ตบุ๊ก เสื้อผ้าสำเร็จรูป รองเท้า กล้องดิจิทัล เกม ของเล่นและเฟอร์นิเจอร์ โดยในปี 2023 มีมูลค่านำเข้า 2.12 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 1.67 แสนล้านดอลลาร์ ปี 2017
มีข้อสังเกตว่า สินค้าจีนกลุ่ม 3 ที่ยังไม่โดนเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าจาก Trade War ในรอบแรก แต่สหรัฐก็มีการนำเข้าจากแหล่งอื่นมากขึ้นไปพร้อม ๆ กับการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจากจีน สะท้อนว่าห่วงโซ่การผลิตโลกได้ปรับตัวรองรับความเสี่ยงจากนโยบายกีดกันทางการค้าไปแล้ว โดยสหรัฐยังมีการนำเข้าจากจีนเพิ่มขึ้นในสินค้ากลุ่มที่ 3 เนื่องจากจีนเป็นฐานการผลิตสินค้าสำเร็จรูปได้ด้วยต้นทุนต่ำ
แต่ในขณะเดียวกัน สงครามการค้าและโควิด-19 ส่งผลให้ผู้ประกอบการบริหารความเสี่ยงด้วยการกระจายฐานการผลิตไปยังอาเซียนและกลุ่มความตกลงสหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA) ซึ่งจะเห็นการนำเข้าของสหรัฐ จากเวียดนาม ไทย เม็กซิโก และอินเดีย เพิ่มขึ้นในสินค้ากลุ่ม 3 นี้ อาทิ โซลาร์เซลล์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ยางล้อ ยารักษาโรค รถยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น
จับตา Trade War รอบใหม่ :
ผลการเลือกตั้งสหรัฐ ปี 2024 ไม่ว่าพรรคใดชนะจะสานต่อนโยบาย “กีดกันการค้ากับจีน” ในขณะที่ Trade War รอบใหม่อาจส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนอีกระลอก
ในขณะที่พรรคเดโมแครตมีแนวทางการกีดกันทางการค้ากับจีน โดยขึ้นภาษีสินค้าจีนแบบเจาะจงในกลุ่มสินค้ายุทธศาสตร์ พรรครีพับลิกันจะเป็นการสานต่อ Trade War รอบใหม่ โดยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนแบบครอบคลุม
นอกจากนี้ หากประเทศใดถอยออกจากการใช้เงินสกุลดอลลาร์ จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มอีก 100% ทั้งนี้ หากเกิด Trade War รอบใหม่ สินค้าในกลุ่มที่ 3 ที่ยังไม่เคยโดนเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มจากสงครามการค้ารอบแรกจะได้รับผลกระทบมากที่สุด และมีแนวโน้มจะเกิดการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนอีกระลอก
“เวียดนาม-เม็กซิโก” รับเต็มๆ :
รายงานของศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า หากมีการย้ายฐานการผลิตอีกระลอก ไทยน่าจะได้อานิสงส์บางส่วนจากอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนเดิมอยู่แล้ว อย่างไรก็ดี สินค้าในกลุ่ม 3 ส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำเร็จรูป ที่ต้องพึ่งพาจุดแข็งในด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำของจีน ซึ่งเวียดนามและเม็กซิโกน่าจะได้รับประโยชน์มากสุด
“เวียดนาม” ได้อานิสงส์ในสินค้ามีมูลค่าเพิ่มอย่างโน้ตบุ๊ก แท็บเลต สมาร์ทโฟน หูฟัง ของเล่นและเฟอร์นิเจอร์
“เม็กซิโก” ได้ประโยชน์ในกลุ่มรถกระบะ รถบรรทุกและชิ้นส่วน และเฟอร์นิเจอร์
ไทยลุ้นอานิสงส์จีนย้ายฐาน :
สำหรับ “ประเทศไทย” น่าจะได้อานิสงส์ในกลุ่มที่มีการลงทุนอยู่เดิม เช่น เซมิคอนดักเตอร์ โซลาร์เซลล์ ชิ้นส่วนกล้องดิจิทัล ถุงมือการแพทย์ ถุงมือยาง น้ำผลไม้ อุปกรณ์โทรทัศน์ PCA และของเล่น เป็นต้น
ศูนย์วิจัยกสิกรฯสรุปว่า นโยบายกีดกันทางการค้า Trade War รอบใหม่ของสหรัฐ แม้ว่าในทางปฏิบัติจะได้รับคะแนนนิยมทางการเมือง และยังใช้เป็นเครื่องมือเจรจาต่อรองกับจีนและนานาประเทศ เพื่อให้สหรัฐได้ประโยชน์ทางการค้ามากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและสหรัฐมากเช่นกัน ยังไม่นับรวมกับผลกระทบกรณีมีการตอบโต้ด้วยมาตรการกีดกันทางการค้าจากหลาย ๆ ประเทศ ที่ยิ่งจะส่งผลกระทบทางลบที่มากขึ้นต่อทิศทางการค้าและเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม ไทยในฐานะเป็นประเทศที่ได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนก็คาดว่า หากเกิดการย้ายฐานการผลิตอีกระลอก ไทยคงจะได้รับอานิสงส์เพียงบางส่วน เนื่องจากในสินค้ากลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตมากที่สุดนั้น ไทยมีข้อได้เปรียบที่จำกัดจากเรื่องต้นทุนการผลิต เมื่อเทียบกับเวียดนามและเม็กซิโก
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 3 พฤศจิกายน 2567