"โดนัลด์ ทรัมป์" หวนคืนเก้าอี้ปธน.สหรัฐ สะเทือนโลก ไทยตื่นตัว รับการเปลี่ยนแปลง
สัปดาห์ที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกา ยักษ์ใหญ่แห่งฝั่งตะวันตก จัดการเลือกตั้งประจำปี 2567 (2024) ผลปรากฏว่า โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ชนะ คามาลา แฮร์สริส จากพรรคเดโมแครต
ต่อมาโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาประกาศชัยชนะ และเป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐ
นับเป็นการหวนกลับครั้งที่ 2 ของทรัมป์ หลังจากเคยนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดี คนที่ 45 ระหว่างปี 2560-2564 (2017-2021) จากนั้นได้แพ้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี 2020 ให้กับ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครต
ทรัมป์กลับมา นโยบายสหรัฐกลับลำ :
นโยบายเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่โดดเด่นของทรัมป์ ในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีด้วยกัน 4 ด้าน ได้แก่
(1)ด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม จากเมื่อปี 2560 หรือคราวที่ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐนั้น ทรัมป์ได้เซ็นหนังสือว่า สหรัฐขอถอนตัว และประกาศยุติการมีส่วนร่วมทั้งหมดในข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ปี 2015 เกี่ยวกับการต่อสู้กับเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เนื่องจากมองว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นการทำลายเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่มีอุตสาหกรรมพลังงาน อาทิ อุตสาหกรรมกลั่นน้ำมันและก๊าซปิโตรเลียม โรงงานไฟฟ้าจากถ่านหิน เป็นส่วนสำคัญอยู่
ซึ่งจุดนี้อาจทำให้ทรัมป์ได้รับคะแนนนิยมจากกลุ่มชนชั้นแรงงาน คนงานเหมือง และแน่นอนว่า ร่างกฎหมาย Clean Competition Act ซึ่งเป็นการเก็บภาษีคาร์บอนกับสินค้าที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงของสหรัฐ จะถูกชะลอออกไปก่อนด้วย
(2)ด้านการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งทรัมป์มีความชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่นโยบายแข็งกร้าวต่อจีน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้า ที่จะมีการปรับขึ้นกำแพงภาษีที่สูงลิ่ว และยังมีเรื่องทางการทหารด้วย
ขณะที่ความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ในตะวันออกกลางนั้น ทรัมป์ก็มีท่าทีในการสนับสนุนอิสราเอล ซึ่งอาจจะทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น ความวุ่นวายอาจขยายวง ที่จะส่งผลกระทบต่อเรื่องราคาพลังงานและต้นทุนการขนส่งสินค้าปรับขึ้นรุนแรง
(3)ด้านการค้า ทรัมป์มีนโยบายกดดันการค้าระหว่างประเทศที่เข้มข้นขึ้นโดยเฉพาะกับประเทศจีน ตามนโยบายกีดกันจีน ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามกัน โดยเสนอให้สหรัฐขึ้นกำแพงภาษีการนำเข้าสินค้าจากจีน เป็นอัตรา 60% พร้อมเสนอให้ถอดถอนสถานะการค้าปกติ (Permanent Normal Trade Relations หรือ PNTR) กับจีนด้วย
ส่วนประเทศอื่น เสนอให้เก็บภาษีนำเข้าจากต่างประเทศ 10-20% โดยให้เป็นอัตราเดียวกัน หรือเทียบเท่ากับที่ประเทศนั้นๆ เก็บภาษีจากสินค้าที่สหรัฐส่งออกไป
(4)ด้านการลงทุน ทรัมป์เสนอถึงการปรับลดอัตราภาษีธุรกิจลงไปอยู่ที่ 15% ถึง 20% จากปัจจุบันเก็บอยู่ที่อัตรา 21% เพื่อเป็นการดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกให้กลับมาลงทุนที่สหรัฐ แต่มาตรการนี้จะส่งผลให้สหรัฐสูญเสียรายได้
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มว่า ทรัมป์อาจจะกดดันธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทางอ้อม ทำให้เฟดไม่มีอิสระ ส่งให้นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น และเงินทุนจะไหลออกสหรัฐ
คลังปรับจีดีพีปี’68 ใหม่รับผลเลือกตั้ง :
จากการเปลี่ยนแปลงในสหรัฐครั้งใหญ่ พร้อมการกลับมาของทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่สั่นคลอนไปทั่วโลก
สำหรับประเทศไทยเองมีการตั้งรับเช่นกัน เพราะไทยเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่พึ่งพาภายนอกประเทศสูง โดยเฉพาะการส่งออกและการบริการและการท่องเที่ยว เป็นสัดส่วนสำคัญ และสหรัฐก็เป็นคู่ค้าสำคัญ
ในส่วนกระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระบุหลังจากที่ผลการเลือกตั้งสหรัฐออกมา ว่า สศค.ได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย จากแนวนโยบายการค้าระหว่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ไว้เบื้องต้นแล้ว โดยประเมินว่า การส่งออกของไทยไปยังสหรัฐ อาจจะได้รับผลกระทบ ซึ่งไทยอาจต้องเร่งหาตลาดใหม่ที่ไม่มีผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐ
ขณะเดียวกันมองว่า จากปัญหาสงครามการค้าที่อาจจะรุนแรงมากขึ้น ซึ่งมีผลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงกับไทย และอาจทำให้ความต้องการสินค้าไทยในภูมิภาคลดลง
ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจกระทบต่อการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทยด้วย รวมทั้งสหรัฐอาจลดการสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศ ทำให้การลงทุนโดยตรง (เอฟดีไอ) จากสหรัฐในไทยน้อยลง โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่หรือโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและพลังงานสะอาด
ส่วนค่าเงินบาทจะผันผวนและอ่อนค่าลงซึ่งจะเพิ่มต้นทุนนำเข้า โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าวัตถุดิบที่ไทยยังต้องพึ่งพาจากต่างประเทศ ส่วนอัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรสหรัฐ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดพันธบัตรไทยไปยังสหรัฐมากขึ้น
ทั้งนี้ ท่ามกลางวิกฤตยังมีโอกาส มองว่าไทยมีโอกาสดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง เช่น อิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกันการกีดกันสินค้าจากจีน อาจเพิ่มความต้องการสินค้าเกษตรและอาหารจากไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารแช่แข็งซึ่งถือเป็นโอกาสที่สำคัญ รวมถึงไทยยังสามารถขยายการลงทุนและส่งออกในกลุ่มสินค้าพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ สศค.ยังประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวที่ระดับ 3% โดยยังไม่ได้นำปัจจัยนโยบายด้านการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าไปสู่การประเมิน เนื่องจากมองว่า แม้สหรัฐจะเร่งผลักดันมาตรการด้านเศรษฐกิจออกมา ก็น่าจะยังไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในทันที โดยน่าจะเริ่มเห็นผลในช่วงไตรมาส 1-2 ปี 2568 จากนั้นจะประเมินจีดีพีอีกครั้ง ขณะนี้จึงจำเป็นต้องรอดูผลกระทบจากมาตรการด้านเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่จะมีต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยว่าจะมาในมิติใดบ้าง
อุตฯไทยตั้งการ์ดรับการเปลี่ยนแปลง :
ด้านกระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ได้ประเมินสถานการณ์อุตสาหกรรม ต่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จากที่โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ชนะการเลือกตั้งนั้น
พบว่า นโยบายของทรัมป์เป็นแบบ “American First” มาตรการกีดกันทางการค้ากับจีนอย่างเข้มข้น มุ่งเน้นการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ นอกจากนี้ยังสนับสนุนการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และยกเลิกเครดิตภาษีคาร์บอน ลดกฎระเบียบเพื่อเร่งโครงการก่อสร้างและเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เช่น การก่อสร้างท่อส่งน้ำมัน
ทั้งนี้ อานิสงส์ต่อไทยคือ การส่งออกสินค้าไทยไปยังตลาดสหรัฐจะดีขึ้นอาจมีการย้ายฐานจากจีนมายังไทยเพิ่มขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงสงครามการค้าและภาคการผลิตที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงฟอสซิลจะปรับตัวดีขึ้น อาทิ ยานยนต์สันดาป ปิโตรเคมี ตามนโยบายของทรัมป์
ขณะที่ผลกระทบเชิงลบ คือ ไทยอาจเผชิญการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นสูงถึง 10-20% บริษัทอเมริกาอาจถอนการลงทุนกลับสหรัฐหลังจากลดภาษีธุรกิจ นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ อาจทำให้ราคาสินค้าและอัตราเงินเฟ้อของไทยสูงขึ้น และการลงทุนด้านพลังงานสะอาดอาจชะลอตัวลง
ดังนั้น สศอ. จึงมีข้อเสนอแนะแก่ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทยเพื่อให้สามารถปรับตัวและบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเหมาะสม ได้แก่
1)ปรับตัวสู่เทคโนโลยีพลังงานสะอาด และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงาน
2)พัฒนาและปรับปรุงกระบวนการผลิต โดยตรวจสอบและปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดการใช้พลังงาน หรือการสูญเสียพลังงานในแต่ละขั้นตอนเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
3)นำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล
4)ผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดโลก โดยต้องมีความเข้าใจความต้องการและสามารถจัดการกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
5)พัฒนาแรงงาน โดยสร้างทักษะใหม่ที่จำเป็นให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กร (Reskill) พัฒนาเพื่อยกระดับทักษะที่มีอยู่เดิมให้ดียิ่งขึ้น (Upskill) เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ นำมาประยุกต์ใช้กับการทำงาน (Newskill) เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะของแรงงานให้ตรงตามความต้องการของตลาดโลก
พณ.จับตาเทรดวอร์สหรัฐกีดกันจีน :
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ โดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) ได้ระบุถึง นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า มุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศสอดคล้องกับการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ส่งผลต่อเนื่องให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นโดยเปรียบเทียบและจะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกของไทย
โดยมีการเปลี่ยนแปลงในด้านนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอย่างมีนัยสำคัญ โดยการใช้มาตรการปกป้องทางการค้าของสหรัฐจะเข้มข้นขึ้น รวมถึงสงครามการค้ากับจีนจะทวีความรุนแรงมากขึ้น มาตรการภาษีนำเข้าซึ่งมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอาจเพิ่มมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี
อย่างไรก็ดี ไทยอาจจะได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังไทยความต้องการสินค้าทดแทนสินค้าจีนจากไทยในตลาดสหรัฐ ที่อาจเพิ่มขึ้น และอาจได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีอาจส่งผลทางอ้อมให้ไทยมีต้นทุนในการปรับปรุง มาตรฐานการผลิตให้สอดคล้องกับสหรัฐ เพื่อรักษาในตลาดสหรัฐ
พร้อมทั้งนโยบายภาคอุตสาหกรรม ด้วยการใช้มาตรการจูงใจทางภาษีเพื่อดึงการลงทุนกลับสู่สหรัฐ อาจทำให้บริษัทสหรัฐที่มีฐานการผลิตในไทยอาจจะพิจารณาย้ายกลับประเทศ อาจเกิดการชะลอตัวของการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากสหรัฐสู่ไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย
เอ็กซิมแบงก์เตือนหาตลาดใหม่ :
ฝ่ายวิจัยธุรกิจเอ็กซิมแบงก์ระบุว่า เบื้องต้นสามารถประเมินผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากแนวนโยบายของทรัมป์ ดังนี้ ด้านการค้า ไทยได้ไม่คุ้มเสียจากสงครามการค้ารอบใหม่ เนื่องจากโอกาสส่งออกสินค้าไทยไปแทนที่สินค้าจีนในตลาดสหรัฐมีไม่มาก เพราะกลุ่มสินค้าที่ถูกเก็บภาษีใหม่ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต เสื้อผ้า รองเท้า และเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งไทยไม่ได้เป็นฐานการผลิตที่สำคัญอยู่แล้ว
อีกทั้งยังมีขีดความสามารถในการแข่งขันต่ำกว่าประเทศอื่น อาทิ เวียดนาม และเม็กซิโก นอกจากนี้ นโยบายของทรัมป์ยังอาจทำให้สถานการณ์สินค้าจีนทะลักเข้าไทยรุนแรงขึ้น จากการระบายสินค้าส่วนเกินของจีน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคไปยังประเทศอื่น
ส่วนการลงทุนนั้น กระแสการย้ายไปลงทุนในประเทศที่วางตัวเป็นกลางยังดำเนินต่อไป แต่อยู่ภายใต้ภาวะกดดันเพิ่มขึ้น เนื่องจากภายใต้การบริหารงานของทรัมป์มักดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้ากับประเทศต่างๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ประเทศที่จีนย้ายฐานลงทุนไปผลิตสินค้าเพื่อเลี่ยงสงครามการค้าเผชิญความเสี่ยงที่จะถูกใช้มาตรการทางการค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้น
สำหรับนโยบายสีเขียว คาดว่ากลไกการลดคาร์บอนโลกอาจสะดุด และส่งผลต่อการผลักดันเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของไทยทางอ้อม เนื่องจากการที่สหรัฐอาจชะลอกฎหมาย Clean Competition Act ลดแรงกดดันต่อธุรกิจส่งออกไทยในการปรับตัวเพื่อลดคาร์บอน ซึ่งอาจมองเป็นมุมบวกของภาคธุรกิจได้ในระยะสั้น เนื่องจากไม่ต้องเร่งลงทุนเพื่อปรับตัว แต่ก็จะส่งผลเสียต่อการผลักดันเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของไทยในระยะถัดไป
ทั้งนี้ เพื่อเตรียมรับมือกับทิศทางการค้า การลงทุน และการเมืองโลก ที่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป ไทยอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องรักษาสมดุลระหว่างสองประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐและจีน โดยเน้นการรักษาความเป็นกลางเพื่อให้ไทยสามารถรักษาความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับทั้งสองประเทศได้อย่างเหมาะสม
ขณะที่ภาคธุรกิจอาจต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยเน้นกลยุทธ์สำคัญ ดังนี้ รุกเข้าตลาด หรือเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนในประเทศที่เป็นประเทศที่วางตัวเป็นกลาง ซึ่งได้ประโยชน์จากความขัดแย้ง เช่น อินเดีย และเวียดนาม เป็นต้น ทั้งในแง่ของการค้าระหว่างประเทศ และการขยายการลงทุนไปยังประเทศดังกล่าว รวมทั้งลดความเสี่ยงจากความผันผวนด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำสัญญาซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า เพื่อป้องกันความผันผวนของค่าเงิน
เห็นได้ว่า การหวนคืนสู่เก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เปลี่ยนนโยบายสหรัฐ ที่มีต่อทั่วโลกไปอย่างสิ้นเชิง ขณะที่หน่วยงานภาครัฐของไทยต่างก็พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้เช่นกัน
ทั้งนี้ สหรัฐจะรับรองผลการเลือกตั้งปลายเดือนธันวาคม 2567 และทรัมป์จะได้คุมบังเหียนจริงช่วงต้นปี 2568
เมื่อเกมโลกเปลี่ยน ใครปรับตัวได้เร็วก็รอด ใครปรับตัวช้าก็ร่วง
หวังว่าไทยจะปรับตัวและชิงโอกาสดีๆ จากเกมนี้ได้!!
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2567