สถาบันโพธิคยาฯ แถลงธรรมยาตราครั้งที่ 4 "ศตวรรษแห่งธรรม" ฝังไทม์แคปซูล 234 ปี
สถาบันโพธิคยาฯ แถลงธรรมยาตราครั้งที่ 4 ลุ่มน้ำโขงสู่มหานทีคงคา จ่อประกาศ "ศตวรรษแห่งธรรม" ครั้งแรกใน ปวศ. 5 ธ.ค.นี้-เตรียมฝังไทม์แคปซูล 3 จุดสำคัญ ทั้งอินเดีย-ไทย เปิดพร้อมกันในอีก 234 ปี โยงศักราชพระเจ้าอโศกแผ่ส่งสมณทูตสู่สุวรรณภูมิ จัดขบวนแห่ยิ่งใหญ่จากวัดไทยพุทธคยาสู่วัดมหาโพธิ
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน มติชนรายงานว่า ที่พระอุโบสถ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ สถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 พร้อมภาคีเครือข่ายทั้งไทยและอินเดีย อาทิ Vivekananda International Foundation,India (VIF), International Center for Cultural Studies, India (ICCS), International Buddhist Confederation (IBC), สถานเอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย, รัฐพิหาร สาธารณรัฐอินเดีย, วัดไทยพุทธคยา สาธารณรัฐอินเดีย,
Mahabodhi Society of Sri Lanka, ศูนย์อินเดียศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และมูลนิธิวีระภุชงค์ ร่วมจัดงานแถลงข่าว ‘ธรรมยาตรา ครั้งที่ 4 ลุ่มน้ำโขงสู่มหานทีคงคา ประกาศศตวรรษแห่งธรรม ณ แดนพุทธภูมิ สาธารณรัฐอินเดีย’ ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 2-10 ธันวาคมนี้ โดยใช้เส้นทางปัตนะ พุทธคยา นิวเดลี คุชราต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 08.00 น. มีการจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย พระเถรานุเถระสวดพระพุทธมนต์ จากนั้น ร่วมรับชมวีดิทัศน์ความเป็นมาของโครงการธรรมยาตรา สู่ศตวรรษแห่งธรรม ซึ่งเคยจัดขึ้นมาแล้ว 3 ครั้ง และประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง กระทั่งเวลาประมาณ 08.20 น. เข้าสู่การแถลงข่าว โดย นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980, นายนาเกช ซิงก์ (H.E.Nr.Nagesh Singh) เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย และพระราชวชิราธิบดี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ฯ เจ้าคณะเขตพระนคร เลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร ตามลำดับ
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะรองเลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 กล่าวถึงภาพรวมของธรรมยาตราที่จัดขึ้นแล้ว 3 ครั้ง กล่าวคือ ครั้งที่ 1 ธรรมยาตรา 5 แผ่นดิน : ตามรอยพระอริยสงฆ์ลุ่มน้ำโขง เมื่อ พ.ศ. 2560, ครั้งที่ 2 ธรรมยาตรา 5 แผ่นดินลุ่มน้ำโขง : พุทธศาสตร์การทูตสู่สันติภาพโลก เมื่อ พ.ศ. 2562 และครั้งที่ 3 ธรรมยาตราพระบรมสารีริกธาตุ มหานทีคงคาลุ่มน้ำโขง ซึ่งอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะจากอินเดีย มาประดิษฐานชั่วคราวยังประเทศไทย โดยประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง
“ธรรมยาตราครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ต้องการเชื่อมโยงพุทธศาสนิกชนของประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเข้าด้วยกันโดยใช้หลักธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนครั้งที่ 3 มีขอบเขตขยายออกไปถึงมหานทีคงคา จุดเริ่มต้นมาจากการที่ ฯพณฯ นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย กล่าววิสัยทัศน์ไว้เมื่อปี 2015 ว่า ศตวรรษที่ 21 คือ ศตวรรษแห่งเอเชีย แต่จะเป็นศตวรรษแห่งเอเชียได้ ก็ต่อเมื่อมีจุดเชื่อมโยงประชาชนทั้งทวีปเอเชียเข้าด้วยกัน นั่นคือคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้พูดคุยกับท่านนาเกช ซิงห์ เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย ซึ่งผมต้องให้เครดิตท่าน และขอขอบคุณรัฐบาลอินเดียที่อนุญาต
การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุในครั้งนั้น ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ มวลมหาประชาชนเกือบ 5 ล้านคน ร่วมสักการะ หลอมรวมจิตใจเป็นหนึ่งเดียว นับเป็นการจุดประกายครั้งสำคัญที่ทำให้เราได้เห็นแล้วว่า วิสัยทัศน์ของท่านนายกฯ โมดี มีความเป็นไปได้ นั่นคือที่มาของเป้าหมายต่อไปของสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 เราต้องการขยายวิสัยทัศน์ของท่านนายกฯ โมดี จากศตวรรษแห่งเอเชีย ไปสู่ศตวรรษแห่งธรรม
เราไม่ได้ต้องการส่งเสริมเพียงแค่พุทธศาสนา แต่ต้องการส่งเสริมหลักธรรมที่มีอยู่ในทุกศาสนา เป็นจุดเชื่อมให้ประชาชนทั้งโลกได้ตระหนักถึงจริยธรรม คุณธรรม และการอยู่ร่วมกันโดยสันติ นี่คือหลักสำคัญ” นายมาริษกล่าว
จากนั้น ดร.สุภชัย วีระภุชงค์ เลขาธิการสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 กล่าวว่า ธรรมยาตราครั้งที่ 4 นับเป็นอีกก้าวสำคัญ ซึ่งคณะจะออกเดินทางไปยังประเทศอินเดียตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ โดยมีกำหนดการสำคัญในวันที่ 5 ธันวาคม โดยจัดขบวนแห่จากวัดไทยพุทธคยา เดินทางเข้าสู่วัดมหาโพธิ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ประกาศ ‘ปฏิญญาว่าด้วยศตวรรษแห่งธรรม’ (Declaration of The Dhamma Century) ในกึ่งพุทธกาล ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ พร้อมฝัง ‘Time Capsule’ หรือแคปซูลแห่งกาลเวลาที่จะถูกเปิดขึ้นในอีก 234 ปีข้างหน้า คือ พ.ศ. 2801
“เมื่อ พ.ศ. 234 พระเจ้าอโศกมหาราช แห่งอินเดีย โปรดให้ส่งสมณทูต 9 สายออกเผยแผ่พุทธศาสนา โดยสายที่ 8 คือ พระโสณะ และพระอุตตระ เดินทางมายังสุวรรณภูมิ ทางสถาบันโพธิคยาฯ และสถานทูตอินเดียประจำประเทศไทย จึงเห็นพ้องต้องกันว่า เราจะเปิดไทม์แคปซูล ในอีก 234 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ เลข 234 เมื่อรวมกันแล้ว ได้เลข 9 ซึ่งเป็นเลขมงคล โดยพระเจ้าอโศกส่งทูตออกเผยแผ่ 9 สายเช่นกัน” ดร.สุภชัยกล่าว
ดร.สุภชัยกล่าวว่า ไทม์แคปซูลดังกล่าว จะทำขึ้น 3 ชิ้นด้วยอะคริลิกใส บรรจุปฏิญญาศตวรรษแห่งธรรม เตรียมฝังใน 3 จุด ทั้งอินเดียและไทย ได้แก่ 1.ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ วัดมหาโพธิ พุทธคยา รัฐพิหาร สถานที่ตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 2.วัดนากา รัฐคุชราต บ้านเกิดของนายกฯ โมดี 3.วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ฯ กรุงเทพฯ
“สถาบันโพธิคยาฯ ได้ทำหนังสือขอเข้าพบท่านนายกฯ โมดี เพื่อมอบสัตยาบันนี้ให้ท่านนำไปบรรจุต่อที่วัดนากา หลังกลับจากอินเดีย สถาบันจะมอบยังนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เพื่อบรรจุไทม์แคปซูลที่วัดมหาธาตุฯ ต่อไปในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พร้อมกับการประดิษฐานพระพุทธรูปธรรมจักรมุทรา ซึ่งจะอัญเชิญมาจากอินเดีย โดยเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือในธรรมยาตราครั้งที่ผ่านมา ซึ่งมีการเชิญเสด็จพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุมาประดิษฐานชั่วคราวที่ประเทศไทย
สำหรับเนื้อหาและสิ่งที่จะบรรจุในแคปซูล ขออุบไว้ก่อน แต่เกี่ยวข้องกับแนวคิดในการสร้างหลักธรรมให้เกิดขึ้นในมนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้นำทุกชาติ ศาสนา ต้องมีธรรม ที่ไม่ได้มีเฉพาะพุทธศาสนา แต่มีในทุกศาสนาอยู่แล้ว เราต้องการส่งสารให้ชาวอินเดีย ชาวไทย และชาวโลกใน 234 ปีข้างหน้าได้เห็นความสำคัญของการใช้ธรรม และให้ผู้นำใช้ธรรมเป็นอำนาจ ไม่ใช่ใช้อำนาจเป็นธรรม
โดยใน พ.ศ. 2801 จะเปิดไทม์แคปซูลพร้อมกันทั้ง 3 แห่ง คือ บริเวณต้นศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา, วัดนากา แคว้นคุชราต และวัดมหาธาตุฯ” ดร.สุภชัยกล่าว
ดร.สุภชัยกล่าวต่อไปว่า การประกาศศตวรรษแห่งธรรมในครั้งนี้ เป็นบทบาทอันสำคัญยิ่งของสถาบันโพธิคยาฯ ที่ได้รับการสนับสนุนโดยพุทธบริษัท 4 อย่างต่อเนื่อง ภายใต้ความฝันและความหวังที่อยากเห็นมนุษยชาติก้าวข้ามพรมแดนความเป็นชาติ สู่ความเป็นมนุษยชาติที่มีความเข้าใจในธรรม ใช้ความเมตตากรุณา การให้ และการให้อภัย อีกทั้งสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในโลกต่อไป
ด้าน นายนาเกช ซิงก์ (H.E.Mr.Nagesh Singh) เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย กล่าวว่า พุทธศาสนาซึ่งมีต้นกำเนิดจากอินเดีย ได้นำพาคำสอนอันเป็นนิรันดร์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสันติภาพ การไม่ใช้ซึ่งความรุนแรง ความรัก ความเมตตา มาสู่ผู้คนโดยได้รับการยอมรับนับถือจากคนทั่วโลกนับร้อยล้าน อาจถือได้ว่าเป็นสายใยแห่งความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดระหว่างไทยและอินเดียด้วย ในการนี้ รัฐบาลกลางและรัฐต่าง ๆ ของอินเดีย พร้อมด้วยภาคีกว่า 10 องค์กร ยินดีและพร้อมให้การต้อนรับคณะธรรมยาตราครั้งที่ 4 ‘ลุ่มน้ำโขงสู่มหานทีคงคา ประกาศศตวรรษแห่งธรรม’ อย่างดียิ่ง
พระราชวชิราธิบดี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ฯ เจ้าคณะเขตพระนคร เลขานุการพระพรหมวัชรวิมลมุนี เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ขออนุโมทนาชื่นชมสถาบันโพธิคยาฯ ที่มองเห็นคุณค่าและความสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ร่วมกับองค์กรเครือข่ายขับเคลื่อนทั้งระดับชาติ และนานาชาติ โดยมุ่งเน้นความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงหลักธรรมคำสอน เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
“ในอดีตพุทธศาสนากำเนิดเกิดขึ้นและเจริญรุ่งเรืองสูงสุดในอินเดีย ปัจจุบันในศตวรรษที่ 21 ถึงยุคกึ่งพุทธกาล การที่สถาบันโพธิคยาฯ ประกาศศตวรรษแห่งธรรม จึงถือเป็นความเชื่อมโยงอย่างยิ่ง ที่จะนำหลักธรรมคำสอนทางพุทธศาสนา เชื่อมโยงไทยและอินเดีย โดยธรรมยาตราครั้งนี้ คือการนำความเจริญของพุทธศาสนาจากสุวรรณภูมิ กลับไปสู่มาตุภูมิพุทธภูมิ คาดหวังว่าจะช่วยนำความสงบสันติมาสู่โลกที่เคยอุดมสมบูรณ์ด้วยธรรมชาติ ความเอื้อเฟื้อเกื้อกูล แต่ปัจจุบันโลกเกิดวิกฤต ทั้งธรรมชาติ น้ำท่วม ไฟไหม้ การเข่นฆ่าประหัตประหารอย่างไร้มนุษยธรรม
พุทธศาสนา รวมทั้งศาสนาอื่น ล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือการหยิบยื่นความรัก ความเข้าใจ โดยการนำหลักธรรมในศาสนานั้น ๆ เผยแผ่ให้มวลมนุษยชาติไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อนำสันติสุขสู่อนาคตโลก ด้วยหลักที่ว่า โลกร่มเย็น ดับเข็ญได้ด้วยศาสนา” พระราชวชิราธิบดีกล่าว
จากนั้นมีการถ่ายภาพร่วมกันพร้อมธง ‘DHAMMA CENTURY’ เป็นสัญลักษณ์
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2567