ธปท.-คลัง-แบงก์พาณิชย์ ตั้งโต๊ะแถลงแก้หนี้ 11 ธ.ค.นี้ แจงรายละเอียดยิบช่วยลูกหนี้ "บ้าน-รถ-เอสเอ็มอี"
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ รัฐบาลจะมีความชัดเจนเรื่องการออกมาตรการแก้ไขหนี้ประชาชน ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์หนี้ครัวเรือนสูง อยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท วันนี้คนอ่อนเปลี้ย จากภาระหนี้ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งมาตรการครั้งนี้ จะดูแลหนี้ทั้งธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินของรัฐ
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า วันที่ 11 ธันวาคมนี้ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสถาบันการเงิน จะร่วมกันแถลงมาตรการแก้หนี้ของธนาคารพาณิชย์ ในส่วนของหนี้บ้าน รถ และเอสเอ็มอี โดยเบื้องต้นมีผู้ร่วมแถลงข่าว ได้แก่ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และผู้บริหารสถาบันการเงิน สำหรับรูปแบบของมาตรการแก้หนี้ ยกตัวอย่าง เช่น หากผู้เข้าร่วมมาตรการเป็นหนี้เสียสินเชื่อบ้าน ในช่วง 3 ปีที่เข้าโครงการ สามารถเลือกชำระค่างวดแบบเต็มจำนวนเดิม หรือเลือกผ่อนครึ่งหนึ่งก็ได้ โดยเงินที่ชำระมาจะนำไปตัดเงินต้น 100%
“รายละเอียดให้รอการแถลงข่าว เบื้องต้นวันที่ 11 ธันวาคมนี้ คาดจัดที่ธปท. ส่วนตัวมองว่ามาตรการแก้หนี้ ที่กำลังจะออกมาเป็นมาตรการที่ดี เนื่องจากปัจจุบันปัญหาการยึดบ้าน ยึดรถมีความรุนแรง ส่งผลเกี่ยวเนื่องไปยังซัพพลายเชนของธุรกิจเหล่านี้ด้วย” นายลวรณ กล่าว
นายลวรณ กล่าวว่า ส่วนการลดเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institutions Development Fund หรือ FIDF) เหลือ 0.23% จากเดิม 0.46% เพื่อตั้งกองทุนสำหรับมาตรการแก้หนี้นั้น มองว่าเป็นการออกแบบที่ดีแล้ว เนื่องจากเป็นกลไกที่จะทำให้เกิดการแข่งขันช่วยลูกหนี้ระหว่างสถาบันการเงิน
“เรื่องนี้ออกแบบไว้ดีแล้ว เพราะเงินถูกเก็บไว้เป็นกองกลาง ถ้าใครไม่ทำก็เหมือนลงเงินกองกลางฟรี แต่ใครทำได้เยอะก็กินเงินกองกลางได้มาก สมมติจะแก้หนี้ให้ 1 ราย ใช้เงิน 100 บาท แบงก์ก็มาใช้เงินกองกลางได้ 50 บาท และออกเอง 50 คือเป็นการแก้หนี้โดยใช้ต้นทุนของแบงก์แค่ครึ่งเดียว” นายลวรณ กล่าวและว่า การลดเงินนำส่งเข้ากองทุนฯจะให้ยืดเวลาชำระหนี้ FIDF ออกไปอีก ถือเป็นสิ่งที่รัฐจะเสีย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การชำระหนี้ FIDF ใกล้จะครบวงเงินแล้ว และมองว่าการลดเงินนำส่งเข้ากองทุน เพื่อยืดเวลาใช้หนี้ไป จะทำให้คนหายใจได้ ทำให้เศรษฐกิจหมุน มองในความคุ้มค่าส่วนนี้มากกว่า” นายลวรณ กล่าว
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 6 ธันวาคม 2567