เอ็กซิม แบงก์ คาดส่งออกปี 67 มีโอกาสโต4% ลุ้นปี 68 เครื่องปรับอากาศกลับมาชิงส่วนแบ่งตลาดสหรัฐฯ
วันที่ 16 ธันวาคม นายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิม แบงก์) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 3% ถือเป็นการขยายตัวในระดับนี้เป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี ด้วยแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุน และการบริโภค ควบคู่กับความต้องการจากต่างประเทศในภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกซึ่งมีแนวโน้มขยายตัว เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกขยายตัวต่อเนื่อง
นายรักษ์ กล่าวว่า โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกปี 2568 จะขยายตัว 3.2% ซึ่งเท่ากับในปี 2567 และการค้าโลกปี 2568 จะขยายตัว 3.4% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ราว 2.8% ตลาดที่มีศักยภาพ ได้แก่ ตลาดเกิดใหม่ อาทิ อินเดีย CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) อาเซียน 5 ประเทศ และตะวันออกกลาง ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2568 สูง ทำให้คาดว่าการส่งออกไทยปี 2568 จะขยายตัว 3% ขณะที่ การส่งออกในปี 2567 นี้ คาดว่า อยู่ที่ 3% และคาดว่า อาจจะแตะที่ระดับ 4 % ได้
นายรักษ์ กล่าวว่า สำหรับสินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตรและอาหาร และสินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น เครื่องสำอาง อาหารสัตว์เลี้ยง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางที่อาจส่งผลให้ค่าระวางและราคาน้ำมันผันผวน ความผันผวนของค่าเงิน และสงครามการค้ารอบใหม่ (Trade War 2.0) เป็นผลจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศต่าง ๆ ของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
นายรักษ์ กล่าวว่า ในปี 2568 เอ็กซิม แบงก์ ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง จะเป็นผู้นำผู้ประกอบการไทยรุกตลาดการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ โดยส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนในธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพ สอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภคในโลกการค้ายุคใหม่ ได้แก่ 1. สินค้าตอบโจทย์ความมั่นคงด้านอาหาร 2. สินค้ารักษ์โลก 3. สินค้าและบริการที่สร้างความสุขหรือประสบการณ์ใหม่ นอกจากนี้ สินค้าที่มีโอกาสเติบโตในปี 2568 ยังได้แก่ สินค้าที่ได้รับผลดีจากนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้แก่ สินค้าเครื่องปรับอากาศและหม้อแปลงไฟฟ้าที่ไทยอาจสามารถกลับมาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้น หากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนและประเทศอื่น ๆ เพิ่มขึ้นตามที่ได้เคยประกาศนโยบายไว้
นายรักษ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ เอ็กซิม แบงก์ จะเดินหน้าบทบาท Green Development Bank นำทัพผู้ประกอบการไทยขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำและสร้างโลกที่ยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมายเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อสนับสนุนธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) เป็น 40% ภายในปี 2568 พร้อมเปิดตัวบริการใหม่ด้านวาณิชธนกิจ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ จัดหาเงินทุนสำหรับโครงการ รวมถึงค้ำประกันหุ้นกู้ (Bond Guarantee) แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่คำนึงถึง ESG
นายรักษ์ กล่าวว่า ขณะเดียวกัน เอ็กซิม แบงก์ สนับสนุนธุรกิจส่งออกและการลงทุนที่ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน นำพาธุรกิจไทยทุกขนาดเข้าสู่ Green Export Supply Chain และมุ่งสู่เป้าหมายธนาคารด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2570 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2593 โดยสอดคล้องกับความต้องการของโลกในการสนับสนุนทางการเงินเพื่อจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งประเมินว่าสูงถึง 8.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่ตัวเลข Climate Finance ปี 2565 มีอยู่เพียง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เท่ากับว่ายังขาดเม็ดเงินอีกมูลค่ามหาศาลในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว
นายรักษ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 เอ็กซิม แบงก์ มียอดสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพัน 179,316 ล้านบาท และคาดว่าจะสูงกว่า 1.9 แสนล้านบาทภายในสิ้นปี 2567 เพิ่มขึ้น 6.8% จาก 177,932 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 ขณะที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) คาดว่าจะอยู่ที่ 3.49% ลดลงถึง 1.2% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน เป็นผลจากการติดตามคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิดของธนาคาร ทำให้คาดว่า ณ สิ้นปี 2567 เอ็กซิม แบงก์จะสามารถทำกำไรสุทธิได้สูงกว่า 1,000 ล้านบาท
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 16 ธันวาคม 2567