ทรัมป์ฉุดเศรษฐกิจไทยปี 68 วูบ 0.5% "เหล็ก-เครื่องใช้ไฟฟ้า" โดนจีนถล่มหนัก
ไออาร์ซีเตือนเศรษฐกิจไทยเจอศึกหนักทรัมป์ 2.0 ปี’68 ร่อแร่ ส่อแววโตแค่ 2.2-2.7% ส่งออกโคม่า โดนขึ้นภาษี ฉุดมูลค่าวูบหาย 1.9 แสนล้าน แถมผลกระทบจีนถล่มซ้ำ หวั่นสินค้าจีนทะลักเข้าไทยหนัก ฉุดขาดดุลการค้าสูงสุดรอบ 6 ปี จับตาเหล็กอาการหนักสุด
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ที่ปรึกษาบริษัท อินเทลลิเจนท์ รีเสิร์ช คอนซัลแตนท์ (ไออาร์ซี) จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2568 เป็นปีที่มีปัจจัยเสี่ยงรอบทิศ โดยเฉพาะปัจจัยเสี่ยงจาก นโยบาย “ทรัมป์ 2.0” ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งประเมินผลกระทบจากนโยบายการใช้ภาษีนำเข้าของทรัมป์จะส่งผลให้ GDP ของไทยในปี 2568 ขยายตัวลดลง 0.3-0.5%
ไทยรองบ๊วยในอาเซียน :
สำหรับมุมมองเศรษฐกิจโลก ปี 2025 ขององค์กรต่างประเทศ ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกขยายตัวไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2567 เช่น Goldmam Sachs คาดว่าเติบโต 2.7% ส่วน IMF และ OECD อยู่ที่ 3.2% และเมื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการใช้ภาษีนำเข้าของทรัมป์ทุกด้าน จะทำให้เศรษฐกิจโลกลดลง 0.4-0.6% โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.7% ในส่วนของเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวเพียง 1.7% และจีนขยายตัวต่ำกว่า 5% ขณะที่เยอรมนีจะได้รับผลกระทบมากที่สุดในยุโรป โดยมีอัตราขยายตัวที่ 0.3%
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าในปี 2568 คาดว่าไทยจะมีอัตราขยายตัวต่ำสุดเป็นอันดับ 9 ในอาเซียน โดยเติบโตอยู่ที่ 2.4% รองจากเมียนมาที่รั้งท้ายอยู่ในอันดับ 10 ของกลุ่ม แต่ด้วยปัจจัยทางการเมือง-ภัยสงครามภายในประเทศ ทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบกับเมียนมาได้ ขณะที่เวียดนามและกัมพูชาต่างมีอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น อยู่ในระดับสูงกว่า 6.0% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไทยได้กลายเป็นผู้ป่วยขั้นวิกฤตในแถบประเทศอาเซียน
ศก.ไทยร่อแร่โตต่ำ 3% 7 ปีติด :
ดร.อัทธ์คาดว่า GDP ปี 2568 จะอยู่ที่ 2.2-2.7% ส่งผลให้เป็นปีที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพในรอบ 20 ปี และขยายตัวต่ำกว่า 3% ติดต่อกันเป็นปีที่ 7 ตั้งแต่ปี 2562 ขณะเดียวกัน คาดการณ์ว่าในปีหน้าไทยจะมีหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสูงสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน คิดเป็น 91% ต่อ GDP เท่ากับปี 2566 และเพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่ 90% คิดเป็น 16.2 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม เมื่อหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น 1% จะทำให้การบริโภคลดลง 0.2-0.3% และ GDP ของประเทศลดลง 0.1-0.2%
ทั้งนี้ หากปีหน้าปัญหาความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ในพื้นที่อิสราเอลและรัสเซียไม่ขยายวงกว้าง ความเสี่ยงหลักของเศรษฐกิจไทย คือภาคการส่งออกที่ต้องเฝ้าระวังนโยบายเศรษฐกิจทรัมป์ 2.0 ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่จะทำให้ GDP ของไทยในปี 2025 ขยายตัวลดลง 0.3-0.5% 2.ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก 3.ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเข้าไทยลดลง 4.ปัญหาหนี้ครัวเรือนซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริโภค การจับจ่ายใช้สอยของประชาชน และ 5.นโยบายการลงทุนและอัตราดอกเบี้ย ซี่งกระทบต่อการลงทุนของต่างชาติในไทย โดยประเมินว่าปัจจัยเสี่ยงทั้งหมดจะกระทบต่อ GDP ปี 2025 มีโอกาสลดลง 1.0-1.7%
ทรัมป์ถล่มส่งออกไทยหาย 1.9 แสนล้าน :
ผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า 10-20% จะทำให้ GDP ไทยปี 2568 ลดลง 0.3-0.5% อยู่ที่ 1.9-2.2% โดยมูลค่าการส่งออกคาดว่าจะอยู่ที่ 2.2% ซึ่งลดลง 1.1% เมื่อเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 3.3% โดยการส่งออกไทยไปสหรัฐอเมริกาลดลง 5-10% กระทบมูลค่าการส่งออกตลาดสหรัฐ 1-1.9 แสนล้านบาท ส่งผลให้การส่งออกไทยขยายตัวเพียง 1.5-2.2% หรือเฉลี่ยขยายตัว 1.9% ด้วยมูลค่า 296,511-298,556 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่นโยบายทรัมป์จะบังคับให้ไทยนำเข้าจากสหรัฐมากขึ้น 14% จาก 14,623 ล้านเหรียญ เป็น 22,812 ล้านเหรียญ หรือเพิ่มเป็น 1.5 เท่า ซึ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี ทำให้ดุลการค้าเกินดุลลดลงจาก 29,101 เหลือ 27,535 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมไทยเผชิญความเสี่ยงถูกเก็บภาษีจากสหรัฐ ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางพารา เสื้อผ้า อุตสาหกรรมพลาสติก และอุตสาหกรรมเครื่องจักร มูลค่ารวมกว่า 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ ยังกระทบไปถึง 3 สินค้าเกษตรหลักคือ ยางพารา ผลไม้สด และอาหารทะเล
ทั้งนี้ หากทรัมป์เก็บภาษีสินค้าจากกลุ่มประเทศ BRICS (บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน และแอฟริกาใต้) 100% จะส่งผลให้การส่งออกของกลุ่มลดลง 50% มูลค่าการส่งออกลดลงจาก 623,388 ล้านเหรียญ รวมถึงขาดดุลการค้าลดลงจาก 367,673 ล้านเหรียญ เหลือ 183,836 ล้านเหรียญ ขณะที่กลุ่มประเทศอาเซียนที่จะได้รับผลประโยชน์สูงสุดในการส่งออกไปยังสหรัฐแทนสินค้า BRICS จะเป็นเวียดนาม ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า 50% และไทย กลุ่มข้าว 40% ผลไม้ 37% และเครื่องจักร 20%
รับมือเหล็กจีนทะลักเข้าไทย :
ส่วนภาวะเศรษฐกิจจีนที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจโลกและไทย การที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่า 5% ติดต่อกันในรอบ 2 ปี และคาดว่าในปี 2567 จะโตราว 4.7% คาดว่าปี 2568 สถานการณ์จะรุนแรงและทำให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวลดลงเหลือ 4.5% กระทบการส่งออกไทยไปจีน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยพึ่งพิงเศรษฐกิจจีนถึง 15% นอกจากนี้ ไทยจะต้องรับมือหากทรัมป์ขึ้นภาษีสินค้าจีน 60% จะทำให้สินค้าจีนทะลักเข้าไทยถึง 20-30% มูลค่า 3.7 แสนล้านบาท ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าจีนเพิ่มขึ้นจาก 1.4 ล้านล้านบาท เป็น 1.6 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 6 ปี
โดยไทยจะต้องรับมือสินค้าเหล็กทะลักเข้ามามากที่สุด สัดส่วน 25% มูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 92,500 ล้านบาท รองลงมาเป็นสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า 18% มูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น 66,000 ล้านบาท และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และอุปโภคบริโภคราว 15% มูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น 55,000 ล้านบาท ปัญหาสินค้าจีนทะลักภายใต้นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs ทยอยปิดกิจการมากขึ้น และไทยขาดดุลการค้าจากจีนเพิ่มมากขึ้น
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 23 ธันวาคม 2567