จี้ตั้งวอร์รูมรับมือทรัมป์ สู้ศึกส่งออกไทยไปสหรัฐ รับมือสึนามิสินค้าจีน
ประธานสภาอุตฯจับตา "ทรัมป์" จ่อขึ้นภาษี ดันสินค้าจีนไหลบ่าทะลักไทยเพิ่ม จี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งศุลกากร สมอ. อย. และหน่วยงานอื่น ๆ ใช้มาตรการคุมเข้ม 100% จี้ตั้งวอร์รูมรับมือนโยบายการค้าสหรัฐ ลดผลกระทบส่งออก สร้างโอกาสใหม่สินค้าไทยในตลาดมะกัน
“โดนัลด์ ทรัมป์” ได้สาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่แล้วอย่างเป็นทางการ ซึ่งจากหลายนโยบายที่ทรัมป์ประกาศออกมาจะมีผลกระทบกับโลกทั้งแง่บวกและแง่ลบ โดยที่จะกระทบกับเศรษฐกิจ และการค้าโลกคือ ทรัมป์ได้ประกาศก่อนหน้านี้ จะปรับขึ้นภาษีสินค้าจากจีน เม็กซิโก แคนาดา รวมถึงสินค้าจากทั่วโลก อ้างเหตุผลเพื่อลดการขาดดุลการค้า และการสร้างรายได้ด้านภาษีให้สหรัฐเพิ่มจากการทำการค้าที่ไม่เป็นธรรมของประเทศคู่ค้า
ในส่วนของประเทศไทย กระทรวงพาณิชย์ระบุในเบื้องต้น มี 29 กลุ่มสินค้าของไทยที่มีความเสี่ยงถูกสหรัฐขึ้นภาษี เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่ทำให้สหรัฐขาดดุลการค้าไทยมาโดยตลอด เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ,เครื่องโทรศัพท์มือถือ, ไดโอด ทรานซิสเตอร์ และโซลาร์เซลล์, หม้อแปลงไฟฟ้า, เครื่องปรับอากาศ, วงจรรวมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณ และสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปบางรายการ เป็นต้น
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า สิ่งที่ภาคเอกชนมีความกังวลมาก คือ ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีสินค้าจีนในรอบใหม่ ซึ่งไม่ว่าจะปรับขึ้นทันที 10% หรือทยอยปรับขึ้นเป็น 60-100% ตามที่เคยขู่ไว้ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยรวมถึงกลุ่มประเทศในอาเซียนคือ สินค้าจีนที่ถูกสหรัฐตั้งกำแพงภาษีจะทะลักเข้ามายังไทยเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลจีนยังให้การสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม หรือภาคการผลิตเพื่อการส่งออกอย่างเต็มที่ เพราะยังเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่ยังเหลืออยู่ จากเครื่องยนต์ด้านอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงยังมีการโยกย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนจีน และนักลงทุนต่างชาติออกจากจีนจำนวนมาก เพื่อลดผลกระทบสงครามการค้ากับสหรัฐ ส่งผลให้การจ้างงานต่าง ๆ ในจีนลดลง ยังผลเด็กจบใหม่จากมหาวิทยาลัยของจีนตกงานถึง 25% ซึ่งถือว่าสูงมาก
“จีนยังต้องทำการผลิตสินค้าจำนวนมากเพื่อส่งออกไปขายทั่วโลก เพื่อนำเงินเข้าประเทศ และเพื่อให้เกิดการจ้างงาน โดยที่รัฐบาลจีนให้การอุดหนุนในรูปแบบต่าง ๆ ยิ่งโดนัลด์ ทรัมป์ จะตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีนสูงกว่าสมัยไบเดน สินค้าเหล่านี้ก็จะยิ่งไหลย้อนกลับมาในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มขึ้น ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย ดังนั้นภาคเอกชนของไทยต้องวางแผนในการตั้งรับ แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้มาก”
ดังนั้นสิ่งที่ได้เรียกร้องไปยังรัฐบาลคือ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยต้องวางแผนรับมือ และมีมาตรการตรวจตราที่เข้มงวดและเอาจริงเอาจัง โดยปิดช่องโหว่ต่าง ๆ และตรวจสอบการนำเข้าอย่างเข้มข้น โดยบังคับใช้มาตรการที่มีอยู่แบบ 100% เช่น กรมศุลกากรในการตรวจตราด่านนำเข้าต่าง ๆ ไม่ให้มีสินค้าลักลอบหรือสำแดงเท็จ การบังคับใช้มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ของสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ส่วนสินค้าอาหารและยา เครื่องสำอาง หรือเวชภัณฑ์ต่าง ๆ ต้องผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) เป็นต้น โดยรัฐร่วมมือกับภาคเอกชนในการเฝ้าระวัง ตรวจตรา และจับกุมสินค้าที่ผิดกฎหมาย
“เราไม่โทษประเทศจีน เพราะเขาผลิตสินค้าได้เยอะ ผลิตได้ดี และผลิตได้ถูก และก็ขายได้เก่ง หาตลาดเก่ง เพราะฉะนั้นเขาก็ส่งไปขายในทุกตลาดที่มีโอกาส แต่ที่ผ่านมาประเทศไทยเราปล่อยให้เขาเข้ามาได้ทุกทิศทาง โดยไม่มีมาตรการที่ดีพอในการกำกับดูแลเหมือนประเทศอื่น ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของเราได้รับผลกระทบและต้องพากันปิดกิจการ ส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน และการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ณ ปัจจุบันการใช้กำลังการผลิตของผู้ประกอบการไทยในภาพรวมเฉลี่ยที่ 58-59% ของกำลังการผลิตโดยรวม และปีนี้ถ้าไม่ทำอะไรคาดว่าจะลดลงอีก”
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า จากที่ไทยอาจได้รับผลกระทบจากสหรัฐปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า เนื่องจากปี 2567 ล่าสุดไทยเป็นประเทศเกินดุลการค้าสหรัฐอยู่ในลำดับที่ 9 ดังนั้นเสนอให้ภาครัฐจัดตั้งวอร์รูม เพื่อเตรียมแนวทางรับมือกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบกับภาคการส่งออกของไทยและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการขยายตลาดกับสหรัฐฯ
ที่มา ฐานเศรษกิจ
วันที่ 22 มกราคม 2568