"ไทย" ระทึกเข้าคิวสหรัฐขึ้นภาษี แนะจ้าง "ล็อบบี้ยิสต์" ต่อรองลงทุนแลกเพิ่มนำเข้า
KEY POINTS
* “มาร์โก รูบิโอ” รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ต่อสายหารือ “บุ่ย แทงห์ เซิน” รองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม เพื่อให้แก้ปัญหาการค้าดุลการค้า
* 10 อันดับแรกที่สหรัฐขาดดุลการค้าเป็นเอเชียเกินครึ่ง ในอาเซียนมีเวียดนาม และไทย เป็นไปได้สูงที่สหรัฐจะประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทยภายใน 1-2 เดือน
* ไทยเป็นมิตรกับสหรัฐ และมีความสัมพันธ์ทางการทูตเกือบ 200 ปี ไม่ใช่เหตุผลที่สหรัฐจะปล่อยไทย การเจรจาจึงต้องเตรียมข้อเสนอว่าจะยื่นหมูยื่นแมวอย่างไร
* รัฐบาลต้องจ้างล็อบบี้ยิสต์ที่เก่งในวอชิงตัน เพื่ออธิบายเจรจานอกรอบ และเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยปิดดีลได้
หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ สมัยที่ 2 เมื่อวันที่ 20 ม.ค.2568 ได้ประกาศมาตรการแก้ปัญหาขาดดุลการค้าด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดา และเม็กซิโก 25% มีผลวันที่ 1 ก.พ.2568 รวมทั้งประกาศพิจารณาขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน 10% อย่างเร็วที่สุดวันที่ 1 ก.พ.2568 โดยสหรัฐกำลังสรุปข้อมูลการค้าของจีน
ในขณะที่เวียดนามที่เป็นประเทศได้ดุลการค้าสหรัฐมากที่สุดในโลก โดย “มาร์โก รูบิโอ” รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ต่อสายโทรศัพท์หารือ “บุ่ย แทงห์ เซิน” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศเวียดนาม เพื่อให้เวียดนามแก้ปัญหาการค้าดุลการค้าของสหรัฐ
สำหรับเวียดนามได้ดุลการค้ากับสหรัฐมากเป็นอันดับ 3 โดยช่วง 11 เดือนแรกของปี 2567 เขตเศรษฐกิจที่ได้ดุลการค้าสหรัฐ 10 อันดับแรก ได้แก่ 1.จีนได้ดุลการค้าสหรัฐ 270,000 ล้านดอลลาร์ 2.เม็กซิโก 157,000 ล้านดอลลาร์ 3.เวียดนาม 113,000 ล้านดอลลาร์ 4.ไอร์แลนด์ 80,500 ล้านดอลลาร์ 5.เยอรมนี 80,500 ล้านดอลลาร์
6.ไต้หวัน 67,400 ล้านดอลลาร์ 7.ญี่ปุ่น 62,200 ล้านดอลลาร์ 8.เกาหลีใต้ 60,200 ล้านดอลลาร์ 9.แคนาดา 54,800 ล้านดอลลาร์ 10.ไทย 51,500 ล้านดอลลาร์
นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และอาเซียน ที่ปรึกษาบริษัท อินเทลลิเจนท์ รีเสิร์ช คอนซัลแตนท์ (ไออาร์ซี) จำกัด เปิดกับกรุงเทพธุรกิจ ว่า เมื่อพิจารณารายชื่อ 10 อันดับแรกที่สหรัฐขาดดุลการค้าเป็นเอเชียเกินครึ่ง โดยในอาเซียนมีเวียดนาม และไทยจึงเป็นไปได้สูงที่สหรัฐจะประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทยภายใน 1-2 เดือน
ทั้งนี้ เวียดนามที่ได้รับสัญญาณเรื่องดุลการค้าจากรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐแล้ว คาดว่าจะเข้าสู่ขั้นตอนการเจรจา และคาดว่าเวียดนามจะมีข้อต่อรองกับสหรัฐสูงกว่าไทย ดังนี้
1)เวียดนามเป็นยุทธศาสตร์ของสหรัฐในการค้ากับจีนในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ความขัดแย้งทะเลจีนใต้และเศรษฐกิจ
2)สหรัฐจะนำเข้าสินค้าจากจีนลดลง และอาจจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าจากเวียดนามมากขึ้น
3)สหรัฐกำลังใช้เวียดนามเป็นฐานการลงทุน เช่น เอ็นวิเดีย รวมถึงมีบริษัทสหรัฐที่ลงทุนในเวียดนาม และผลิตสินค้าส่งกลับสหรัฐ โดยสหรัฐจะใช้เวียดนามเป็นซัพพลายเชนของสหรัฐ และดึงเวียดนามออกจากซัพพลายเชนของจีน
นายอัทธ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นแผนการรับมือของรัฐบาลที่ชัดเจน โดยรัฐบาลต้องกำหนดยุทธศาสตร์การเจรจาของไทย ดังนี้
1)ไม่ควรเจรจาให้ไทยเพิ่มการนำเข้าเพื่อลดขาดดุลการค้าสหรัฐเพียงอย่างเดียว แต่ควรเจรจาเป็นพันธมิตรร่วมกันเพื่อให้สหรัฐเข้ามาลงทุนไทย และไทยเป็นส่วนหนึ่งของซัพพลายเชนสหรัฐ
2)ควรเจรจาสหรัฐให้ไทยเป็นแหล่งซัพพลายสินค้าเกษตร โดยหลังจากนี้มีโอกาสที่สหรัฐจะลดการนำเข้าสินค้าเกษตรจากจีน
“การที่ไทยเป็นมิตรกับสหรัฐ และมีความสัมพันธ์ทางการทูตมาเกือบ 200 ปี ไม่ใช่เหตุผลที่สหรัฐจะปล่อยไทย จะเห็นว่ารอบนี้ทรัมป์เอาจริงเอาจังกับการรักษาผลประโยชน์ของสหรัฐ การเจรจากับสหรัฐจึงต้องเตรียมข้อเสนอให้พร้อมว่าจะยื่นหมูยื่นแมวอย่างไร”
ส.อ.ท.แนะจ้างล็อบบี้ยิสต์เชี่ยวชาญ :
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ความเสี่ยงดุลการค้าสหรัฐทำให้ถูกจับตา และเรียกหารือแน่นอน เพราะทรัมป์ เรียงลำดับประเทศที่ได้ดุลการค้าสูงไว้แล้ว ซึ่งเวียดนามสูงกว่าไทยมาก และเป็นอันดับที่ 1 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทั้งนี้ ทรัมป์ จะเดินเกมเร็ว และจะไม่บุ่มบ่าม โดยเดินทีละก้าวไม่เดินทั้งแพ็กเกจ โดยใช้กลยุทธ์ประกาศนโยบายทุกวัน และปัจจุบันโฟกัสที่แคนาดา เม็กซิโก และจีน ซึ่งล่าสุดมาที่เวียดนาม และมีอีกหลายประเทศที่ทรัมป์จะใช้นโยบายดุลการค้าเป็นเครื่องมือ ซึ่งสหรัฐมีอำนาจต่อรองกับทุกประเทศ
ส่วนการที่ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเดินทางไปเจรจากับสหรัฐต้นเดือน ก.พ.2568 เป็นเรื่องดีที่ได้เตรียมตัว ซึ่งสิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ คือ จ้างล็อบบี้ยิสต์ที่เก่งในวอชิงตัน จะเป็นกลไกสำคัญเพื่อเข้าถึงผู้มีอำนาจตัดสินใจ ดังนั้น การไปหารือครั้งนี้ต้องไปคู่กับล็อบบี้ยิสต์เพื่ออธิบายเจรจานอกรอบได้ ซึ่งล็อบบี้ยิสต์เป็นกลไกสำคัญที่ช่วยปิดดีลได้
“ล็อบบี้ยิสต์ภายใต้ทรัมป์จะมีความหมาย และเข้มข้นขึ้น เป็นการทูตการเมืองระหว่างประเทศเชิงเศรษฐกิจ ดังนั้น การเดินทางครั้งนี้ ถือเป็นการเตรียมตัวเชิงรุก แต่ต้องเตรียมพร้อมสิ่งที่จะแลกเปลี่ยน คาดว่าสหรัฐมีข้อต่อรองมากมายเพื่อลดขาดดุลการค้า ไทยต้องรักษาผลประโยชน์ 2 ประเทศร่วมกัน และแลกเปลี่ยนที่สมน้ำสมเนื้อ”
นอกจากนี้ ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ต้องจับตาดูเพราะเมื่อเวียดนามได้รับสัญญาณจากสหรัฐเรื่องดุลการค้าแล้วทำให้ไทยอาจอยู่ในกลุ่มอาเซียนที่เป็นเป้าหมายต่อไป
ทั้งนี้ ภาคเอกชนต้องการให้ภาครัฐตั้งวอร์รูมแห่งชาติที่มีเอกชนร่วมด้วย เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลใกล้ชิด และรู้ความเคลื่อนไหวจะขยับอย่างไร รวมถึงร่วมวางแผนให้ถูกต้อง และตรงจุดทำงานเชิงรับ และเชิงรุกพร้อมกัน
“หอการค้า”ชี้ไทยต้องแจงดุลการค้าให้ชัด
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ความไม่แน่นอนมีเสมอ โดยการขึ้นเป็นประธานาธิบดีของทรัมป์ ทำให้สถานการณ์พลิกหรือมีประกาศใหม่ตลอด ซึ่งล่าสุดโคลอมเบียโดนภาษี 25% โดยที่ชัดเจนในเดือนก.พ.2568 มีแคนาดา เม็กซิโก และจีน ส่วนประเทศอื่นจะถูกประกาศหลังจากนี้
ทั้งนี้ สิ่งที่ไทยต้องทำให้ดีที่สุดคือ เตรียมทีมเจรจา และการนัดหมาย โดยกระทรวงพาณิชย์จะไปเจรจาเดือนก.พ.2568 ซึ่งการนัดหมายดังกล่าวเป็นตัวช่วยให้ผ่อนคลายแรงกดดันได้ เพราะเตรียมความพร้อมที่จะเจรจา โดยหลักการของทรัมป์จะเจรจารายประเทศ
ดังนั้น การเจรจาสิ่งต้องอธิบายให้ชัดเจนเป็นดุลการค้าของไทย โดยต้องชี้แจงว่าส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่สหรัฐลงทุนในไทย และส่งกลับไปประกอบในสหรัฐเป็นสินค้าสำเร็จรูป ซึ่งมีผลกับการผลิตสหรัฐเช่นกัน
“ไทยผลิตสินค้าขั้นต้นให้สหรัฐไปทำแบรนด์จำหน่าย ถือเป็นเรื่องต้องเคลียร์ให้ชัดเจน และอาจต้องนำเข้าจากสหรัฐเพิ่มเป็นการแลกเปลี่ยน อย่างน้อยที่สุดขั้นแรกสื่อสารชัดเจนว่าไทยพร้อมไปเจรจา และต้องแสดงให้เห็นชัดว่าไทยเกินดุลเป็นประโยชน์ของสหรัฐด้วย”
จับตา “ยูเอสทีอาร์” สายเหยี่ยว :
เมื่อวันที่ 26 พ.ย. โดนัลด์ ทรัมป์ เลือกนายเจมิสัน กรีเออร์ ทนายความด้านการค้าเป็นผู้แทนการค้าสหรัฐ (ยูเอสทีอาร์) คนใหม่ เน้นดูแลขาดดุลการค้ามหาศาล, ปกป้องภาคการผลิต การเกษตร และภาคบริการของสหรัฐ และเปิดตลาดส่งออก
สำหรับกรีเออร์ วัย 44 ปี เคยเป็นหัวหน้าคณะทำงานของนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ อดีตผู้แทนการค้าสหรัฐรัฐบาลทรัมป์ 1.0 ต้นตำรับการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจีน 3.7 แสนล้านดอลลาร์ และเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือฉบับใหม่กับแคนาดา และเม็กซิโก
บทบาทของนายกรีเออร์ ขณะนั้นร่วมกับนายไลท์ไฮเซอร์เจรจาจีนทุกครั้งตามข้อตกลงการค้า “เฟส1” ในเดือน ม.ค.2020 ที่จีนให้คำมั่นซื้อสินค้าสหรัฐ 2 แสนล้านดอลลาร์ รวม 2 ปี แต่ไม่สำเร็จส่วนหนึ่งเพราะโควิด-19
ก่อนร่วมงานรัฐบาลทรัมป์ นายกรีเออร์ เคยทำงานกับนายไลท์ไฮเซอร์ ในคดีเยียวยาการค้าเหล็กที่บริษัทกฎหมาย Skadden, Arps, Slate, Meagher & Flom เขาออกจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ เดือน พ.ค.2020 เพื่อร่วมงานกับบริษัทกฎหมาย King & Spalding
ในรอบนี้เมื่อทรัมป์เลือกนายกรีเออร์เป็นยูเอสทีอาร์ นายไลท์ไฮเซอร์ถึงกับชมเชยว่าเป็น “ตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม” โดยตำแหน่งนี้ต้องผ่านการรับรองจากวุฒิสภาก่อน ซึ่งยังไม่มีกำหนดรับฟังข้อมูลจากนายกรีเออร์
สงครามการค้ายกแรกรอดหวุดหวิด :
สงครามการค้ายกแรกภายใต้ทรัมป์ 2.0 ระหว่างสหรัฐกับโคลอมเบีย คู่ค้ารายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐในลาตินอเมริกา รอดพ้นหวุดหวิดภายในไม่กี่ชั่วโมง เริ่มต้นจากเมื่อเช้าวันอาทิตย์ (26 ม.ค.68) ตามเวลาท้องถิ่น สหรัฐส่งเครื่องบินทหารบรรทุกผู้อพยพชาวโคลอมเบียกลับประเทศ แต่ประธานาธิบดีกุสตาโว เปโตรของโคลอมเบีย ไม่ให้เข้าโดยกล่าวว่า จะรับพลเมืองจากเครื่องบินพลเรือน
ทรัมป์ จึงโพสต์ทรูธโซเชียลว่า “สินค้าทั้งหมด” ที่เข้าสหรัฐจะถูกขึ้นภาษีทันที 25% และใน 1 สัปดาห์จะเพิ่มเป็น 50% ด้านเปโตร สวนกลับจะขึ้นภาษี 25% แต่ในเวลาไม่นานทำเนียบขาวแถลงเมื่อคืนวันที่ 26 ม.ค.ว่าโคลอมเบียยอมรับผู้อพยพที่เข้าสหรัฐผิดกฎหมายจากโคลอมเบียอย่างไม่มีข้อจำกัด และทรัมป์ จะไม่เรียกเก็บภาษี 25% เว้นแต่โคลอมเบียจะไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงนี้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 28 มกราคม 2568