เตือนระวัง "อาเซียน" เหยื่อสงครามการค้าโลก
ช่วงนี้จะเห็นว่า "โดนัลด์ ทรัมป์" วุ่นอยู่กับการส่งผู้อพยพกลับประเทศต้นทาง พร้อมกับการไล่ขึ้นภาษีสินค้านำเข้ายังประเทศที่มีปัญหาเรื่องผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายในสหรัฐ
ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมขึ้นภาษี 25% กับเม็กซิโกและแคนาดาที่คาดว่าจะเริ่มในวันที่ 1 ก.พ.นี้ …เราเชื่อว่าหลังจากที่ ‘ทรัมป์’ เสร็จธุระเรื่องการจัดส่งผู้อพยพกลับประเทศแล้ว เขาจะหันมาจัดการกับปัญหา ‘การขาดดุลการค้า’ กับประเทศต่างๆ ที่อาจจะยังไม่ใช่ประเทศจีน
สาเหตุที่เราเชื่อว่า ‘ทรัมป์’ จะยังไม่มุ่งเป้าไปที่จีนโดยตรงเพราะต้องยอมรับว่า ‘จีน’ มีอำนาจต่อรองกับสหรัฐพอสมควร ยิ่งประสบการณ์จากสมัยรัฐบาล ‘ทรัมป์ 1.0’ เห็นชัดว่า การขึ้นภาษีกับจีนแบบตรงไปตรงมา จีนก็โตกลับอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน จึงไม่เป็นผลดีกับเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศ
ล่าสุด ‘ทรัมป์’ ให้สัมภาษณ์กับ Fox News ว่า ‘สี จิ้นผิง’ เป็นเหมือนกับเพื่อนของเขา จึงยังไม่อยากใช้มาตรการภาษีศุลกากรกับเพื่อน ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า ‘ทรัมป์’ น่าจะเข้าใจสิ่งที่จะตามมาเป็นอย่างดี หากเปิดศึกตั้งกำแพงภาษีใส่จีนแบบโต้งๆ
แต่สิ่งที่ ‘ทรัมป์’ จะดำเนินการเพื่อลดการขาดดุลการค้าลง คือ การบีบประเทศที่อ่อนแอแต่เกินดุลการค้ากับสหรัฐอย่างมหาศาล รวมไปถึงประเทศที่เป็น ‘ทางผ่าน’ ของสินค้าจีนเข้าไปยังสหรัฐ เป้าหลักคงหนีไม่พ้นหลายประเทศในอาเซียนซึ่งรวมถึง ‘ไทย’ ด้วย …ข้อมูลของ KKP Research ระบุว่า กลุ่มประเทศอาเซียนมียอด ‘เกินดุลการค้า’ กับสหรัฐในปี 2024 รวมกันถึง 2.4 แสนล้านดอลลาร์ เรียกว่าสูงเป็นอันดับ 2 รองจากจีนเท่านั้น ประเทศในกลุ่มอาเซียนถึงมีความเสี่ยงเผชิญกับมาตรการกีดกันการส่งออกจากสหรัฐได้
‘เวียดนาม’ ถือเป็นประเทศที่มียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐสูงสุดในบรรดาชาติสมาชิกอาเซียน โดยในปี 2024 เวียดนามมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐสูงราว 1.2 แสนล้านดอลลาร์ และแน่นอนว่า ‘เวียดนาม’ จึงกลายเป็นเป้าหมายแรกๆ ที่สหรัฐจะบีบให้ลดการเกินดุลในส่วนนี้ลง โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รมว.ต่างประเทศสหรัฐ ‘มาร์โก รูบิโอ’ ได้หารือกับ รองนายกรัฐมนตรีของเวียดนาม ‘บุ่ย แทงห์ เซิน’ เรียกร้องให้เวียดนามแก้ปัญหาการเกินดุลการค้ากับสหรัฐ จนเวียดนามต้องยอมพิจารณาที่จะซื้อเครื่องบินจากบริษัทโบอิงของสหรัฐ และยังพิจารณาซื้อสินค้าไฮเทคอื่นๆ ด้วย
กรณีของ ‘ไทย’ มียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐน้อยกว่าเวียดนามมาก แต่ก็นับว่าสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของอาเซียนและอันดับ 11 ของโลก โดยอยู่ที่ประมาณ 4.7 หมื่นล้านดอลลาร์ ดังนั้นไทยเองก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกทางการสหรัฐบีบให้ไทยต้องซื้อสินค้าจากสหรัฐมากขึ้น นอกจากนี้ แม้ว่า ’สหรัฐ’ อาจจะยังไม่ขึ้นภาษีจีนอย่างตรงไปตรงมา แต่สินค้าจากจีนที่จะเข้าไปในสหรัฐก็มีความยากมากขึ้น สิ่งที่ผู้ประกอบการจีนต้องทำ คือ ปรับตัวโดยการส่งสินค้าออกไปขายยังประเทศอื่นๆ แทน ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายหลักคงหนีไม่พ้นอาเซียน ดังนั้นอาเซียนจึงอาจจะกลายเป็น ‘เหยื่อตัวหลัก’ ของสงครามการค้าโลกในรอบนี้ก็เป็นได้!
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 29 มกราคม 2568